#OSP #ทันหุ้น-หุ้นบริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP ราคาปรับขึ้น 7.24% โบรกเกอร์คาดกำไรปกติงวดไตรมาส 2/68 จะเติบโตเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน จากอัตรากำไรขั้นต้นที่แข็งแกร่ง พร้อมมองมูลค่าหุ้นอยู่ในระดับที่น่าสนใจ และคาดปีนี้จะให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ 8%
ความเคลื่อนไหวราคาหุ้น OSP อยู่ที่ 16.30 บาท บวก 1.10 บาท หรือ 7.24% มีมูลค่าการซื้อขาย 221.00 ล้านบาท
บล.เอเซีย พลัส คาดแนวโน้มกำไรปกติของ OSP ในงวดไตรมาส 2/68 เติบโต YoY จากอัตรากำไรขั้นต้นที่แข็งแกร่งใกล้ 40% ซึ่งเป็นผลจากการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต และการล็อกราคาวัตถุดิบหลัก ทั้งนี้คาดกำไรอาจทรงตัว QoQ เนื่องจากผลกระทบฤดูกาลในต่างประเทศ แต่ปีนี้ตลาดเมียนมาร์ยังทำผลงานได้ดี ประกอบกับส่วนแบ่งตลาดในประเทศที่เพิ่มขึ้น จึงช่วยลดผลกระทบจากฤดูกาลลง
โดย OSP ยังคงรักษาทิศทางการดำเนินงานเชิงบวกในช่วงต้นไตรมาส 2/68 สะท้อนจากส่วนแบ่งการตลาดเครื่องดื่มชูกำลังในประเทศที่ปรับขึ้นเป็น 45.0% ในเดือนเมษายน จาก 44.5% ณ สิ้นปี 2567 โดยได้แรงหนุนหลักจากสินค้า M-150 ฝาเหลืองราคา 10 บาท
ฝ่ายวิจัยเอเซีย พลัส ยังคงคำแนะนำ “Neutral” โดยประเมินกำไรปี 2568 ที่ระดับ 3.0 พันล้านบาทและราคาเป้าหมายที่ 18.30 บาท ปัจจัยที่ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ได้แก่ ความแข็งแกร่งของกำลังซื้อในประเทศ และการแข่งขันในตลาดเครื่องดื่มชูกำลัง ซึ่งแม้บริษัทจะมีทิศทางฟื้นตัวที่ดี แต่การปรับเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดยังเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป และยังมีความท้าทายในการบรรลุเป้าหมาย 50% ภายในสิ้นปีนี
บล.เมย์แบงก์(ประเทศไทย) แนะนำซื้อหุ้น OSP ให้ราคาเป้าหมายที่ 18.70 บาท เนื่องจากมูลค่าหุ้นยังอยู่ในระดับที่น่าสนใจ (ซื้อขายที่ P/E ปี 68 ประมาณ 13.8 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีอยู่ -1.75SD) และให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลในปี 2568 ที่ 8% แม้ว่าเฝ่ายวิจัยยังมีมุมมองเชิงลบต่อภาพรวมตลาดเครื่องดื่มชูกำลังในไทยจากการแข่งขันที่รุนแรง แต่การที่ OSP สามารถชิงส่วนแบ่งตลาดกลับมาได้ ถือเป็นสัญญาณเชิงบวกว่าอาจผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว
ฝ่ายวิจัยเมย์แบงก์ ระบุว่าผู้บริหาร OSP ได้ปรับลดเป้าการเติบโตของยอดขายในปี 2568 ลงเหลือ 2-5% (จากเดิมที่คาดว่าจะโตระดับตัวเลขหลักเดียวกลางๆ) เนื่องจากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ยังอ่อนแอ อย่างไรก็ดี เป้าหมายดังกล่าวยังสูงกว่าประมาณการของฝ่ายวิจัยที่ 1% ส่วนกำไรสุทธิคาดว่าจะเติบโตได้ดีขึ้น (เราคาดว่าจะโต 9%) โดยมีอัตรากำไรขั้นต้น(GPM) เพิ่มขึ้นเกือบแตะ 40% (เทียบกับ 37.3% ในปี 67 และ 38.8% ที่เราคาดไว้) จากการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นและต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลง
เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา อ่านเพิ่มเติม