DELTA ทิสโก้ปรับลดเป็น “ขาย“ 2H68 เสี่ยง ราคาหุ้นเกินพื้นฐาน

#ทันหุ้น - บล.ทิสโก้ ส่องหุ้น บริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA ผลประกอบการคาดว่าจะได้รับผลกระทบจากการจ่ายเงินชดเชยคดีความ โดยฝ่ายวิจัยคาดว่า DELTA จะทำกำไรหลักได้ 5.1 พันล้านบาทใน Q2/68F อย่างไรก็ตาม กำไรสุทธิน่าจะอ่อนแอเนื่องจากค่าใช้จ่ายครั้งเดียวจำนวนมากที่เกี่ยวข้องกับการจ่ายเงินชดเชยคดีความ เพื่อแก้ไขปัญหาคดีละเมิดสิทธิบัตรในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นปัจจัยกดดันมาเป็นเวลา 12 เดือนที่ผ่านมา สำหรับ 2H68F ฝ่ายวิจัยยังคงมองอย่างระมัดระวังต่อระดับความต้องการที่ปกติและการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานที่เชื่อมโยงกับภาษีนำเข้าและใบอนุญาต AI สำหรับการส่งสินค้า ปัญหาเหล่านี้อาจทำให้โครงการหลายแห่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่อยู่ในขั้นตอนดำเนินการช้าลงหรือล่าช้า

ปรับลดคำแนะนำเป็น “ขาย” จาก “ถือ” เนื่องจากเชื่อว่าราคาหุ้นได้รับการประเมินมูลค่าเต็มที่แล้ว โดยยังคงคาดหวังกำไรหลักใน Q2/68F ที่ซบเซา 5.1 พันล้านบาท ลดลง 14% YoY ยอดขายใน Q2/68F คาดว่าจะเติบโต 17% YoY ในแง่ดอลลาร์สหรัฐฯ เป็น 1,320 ล้านดอลลาร์ โดยได้แรงหนุนจากกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์กำลัง ซึ่งคาดการณ์จะเพิ่มขึ้น 28% YoY จากคำสั่งซื้อเร่งด่วน ขณะเดียวกัน ยอดขายในธุรกิจโมบิลิตี้คาดว่าจะลดลง 13% YoY เนื่องจากอัตราการยอมรับที่ช้าและความไม่แน่นอนที่เกี่ยวข้องกับภาษี

GPM คาดการณ์จะอ่อนตัวเหลือ 25.2% ลดลงจาก 26.9% ใน Q2/67 ถูกกดดันจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ/บาทที่แข็งค่าขึ้น 9.8% YoY เป็น 33.1 บาทต่อดอลลาร์ แม้จะมีส่วนผสมผลิตภัณฑ์ที่ดีขึ้น ฝ่ายวิจัยคาดว่าค่าใช้จ่ายปฏิบัติการจะลดลงเหลือ 12.3% ของยอดขาย (เทียบกับ 12.9% ใน Q2/67) ส่งผลให้ EBIT ลดลง 3% YoY เหลือ 5.64 พันล้านบาท

2H68F ท้าทายมากขึ้นเนื่องจากสหรัฐฯ วางแผนเข้มงวดการจำกัดการส่งออก AI ซึ่งแม้ว่าผลกระทบเต็มรูปแบบจาก Trump Tariffs 2.0 และการเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทานที่เกิดขึ้นจะยังคงยากต่อการประเมิน แต่ฝ่ายวิจัยเริ่มเห็นสัญญาณของการหยุดชะงักที่อาจเกิดขึ้นในโครงการที่เกี่ยวข้องกับ AI โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสหรัฐฯ พิจารณาการจำกัดเฉพาะเจาะจงต่อไทยและมาเลเซีย แม้ว่า DELTA จะไม่เปิดเผยปลายทางลูกค้าขั้นสุดท้าย แต่เราเชื่อว่าผลกระทบน่าจะจำกัด อยู่ในระดับน้อยกว่า 10% ของยอดขายทั้งหมด

สำหรับ DELTA พร้อมมูลค่าที่เหมาะสมที่ปรับใหม่ 76.10 บาท และลดคำแนะนำเป็น “ขาย” พร้อมมูลค่าที่เหมาะสมปี 2569 ที่ปรับใหม่ 76.10 บาท (จาก 67.00 บาทก่อนหน้า) โดยใช้ P/E 38 เท่า โดยความเสี่ยงหลักประกอบด้วย ค่าเงินบาทแข็งค่าเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ความต้องการเซิร์ฟเวอร์ที่ชะลอตัว และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์