23 มิถุนายน 2025 เวลา 05:30 น.
ส่วนประธานาธิบดีทรัมป์ให้สัญญาณว่าจะตัดสินใจเข้าร่วมสนับสนุนอิสราเอลภายใน 2 สัปดาห์ข้างหน้า ด้านนโยบายการเงิน ผลการประชุม FOMC มีมติเอกฉันท์ 12-0 คงอัตราดอกเบี้ยที่ 4.25-4.50% ตามคาด อย่างไรก็ตาม Fed ปรับลดคาดการณ์การเติบโต GDP ปี 2025 จาก 1.7% เหลือ 1.4% และปรับเพิ่มคาดการณ์เงินเฟ้อพื้นฐาน (Core PCE) จาก 2.8% เป็น 3.1% พร้อมยังคงแผนลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ แต่ในรายละเอียดของการโหวตมีความเข้มงวด(Hawkish) ขึ้น โดยมีคณะกรรมการเฟด 7 คนโหวตไม่ลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมเลยในปีนี้ ซึ่งมีจำนวนที่เพิ่มขึ้นจากเดิม ขณะที่ประธาน Powell เตือนว่าภาษีนำเข้าอาจผลักดันเงินเฟ้อให้สูงขึ้นและยืดเยื้อกว่าที่คาด พร้อมทั้งระบุมุมมองว่าราคาพลังงานที่สูงขึ้นจากภาวะสงครามจะส่งผลกระทบต่อเงินเฟ้อแค่ชั่วคราว ทั้งนี้ตลาดยังคงกังวลจากการเข้าใกล้วันครบกำหนดการเลื่อน Reciprocal tariffs ในวันที่ 9 กรกฎาคม ที่อาจมีการประกาศมาตรการภาษีนำเข้าใหม่อีกครั้ง
• สัปดาห์นี้ เรายังคงมุมมองเดิมว่าตลาดหุ้นสหรัฐ รวมถึงตลาดหุ้นทั่วโลกจะยังอยู่ในช่วงการปรับฐาน เนื่องจากระดับ Valuation ที่ค่อนข้างตึงตัวทำให้ตลาดไม่ตอบสนองต่อปัจจัยบวก แต่จะตอบสนองต่อปัจจัยลบมากกว่าปกติ โดยเราประเมินว่าความผันผวนประกอบกับ Valuation ที่ตึงตัวนั้นจะคงอยู่กับนักลงทุนไปจนกว่าจะถึงช่วงการรายงานผลประกอบการกลางเดือนกรกฎาคมที่อาจเปลี่ยนแปลงมุมมองของตลาดได้หากกำไรออกมาดีกว่าคาด ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ตัวเลข GDP 1Q/25 ของสหรัฐ ครั้งสุดท้าย ที่ตลาดคาดว่าจะอยู่ที่ -0.2% QoQ ไม่ต่างจากรอบ Preliminary, ตัวเลข ISM PMI ทั้งภาคการผลิตและบริการของสหรัฐและตัวเลข Core PCE ที่คาดว่าอาจเห็นการเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังมีการประชุมคณะกรรมการประจำสภาประชาชนแห่งชาติจีน (NPC Standing Committee) ระหว่างวันที่ 24-27 มิถุนายน ที่จะพิจารณาร่างแก้ไขกฎหมายต่อต้านการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมให้เข้มงวดยิ่งขึ้น ซึ่งอาจกระทบต่อบริษัทเทคโนโลยี แพลตฟอร์มดิจิทัล และธุรกิจออนไลน์ พร้อมจับตานโยบายการคลังและการเงินที่อาจประกาศเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นการบริโภคในประเทศ นอกจากนี้ในช่วงวันที่ 24 – 25มิถุนายน ยังมีการประชุม NATO Summit ของนานาชาติซึ่งเราคาดว่าประเด็นหลักจะยังเป็นการเรียกร้องของสหรัฐให้กลุ่มสมาชิกเพิ่มงบประมาณด้านการป้องกันประเทศโดยมีความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่านเป็นประเด็นหารือหลัก เราจึงยังคงมีมุมมองระมัดระวัง และไม่แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้น แต่แนะนำกระจายความเสี่ยงไปลงทุนในตราสารหนี้ด้วยกองทุน UGISFX-N ที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้โลกคุณภาพดี โดยแนะนำให้ลงทุนเมื่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปี สหรัฐ อยู่ใกล้ 4.5% เพื่อล็อกอัตราดอกเบี้ย และด้วยค่าบาทที่แข็งค่า เราแนะนำเลือกกองทุน Unhedged Class เพื่อหลีกเลี่ยงค่าใช้จ่าย Hedging สำหรับ Satellite Portfolio ระยะสั้น 3-6 เดือน เราแนะนำ ONE-FFI เพื่อเก็งกำไรจากมุมมองที่ว่าค่าบาทปัจจุบันแข็งเกินไป โดยกองทุนลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ระยะสั้นแบบ Unhedged ซึ่งจะสร้างผลตอบแทนเมื่อค่าบาทกลับมาอ่อนค่า ซึ่งกลยุทธ์ระยะสั้นนี้เหมาะกับนักลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงได้ มีเวลาติดตามตลาดมากเพียงพอ ตลอดจนสามารถตัดขาดทุนได้ตามแผน โดยเราแนะนำให้นักลงทุนทยอยสะสมในกรอบค่าเงินบาทต่อดอลลาร์ที่ 32 – 33.5 และตัดขาดทุนเมื่อค่าเงินบาทแข็งค่ามากกว่า 31.50บาท โดยมีเป้าหมายการทำกำไรที่ 35 บาทต่อดอลลาร์
• สำหรับตลาดหุ้นไทย KS ประเมิน SET จะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,050-1,080 จุด โดยดัชนี SET ยังคงปรับตัวลงเป็นสัปดาห์ที่ 6 ติดต่อกัน ปัจจัยกดดันหลักมาจาก ความไม่แน่นอนทางการเมืองจากการปรับคณะรัฐมนตรีและความขัดแย้งในพรรคร่วมรัฐบาล สถานการณ์ความตึงเครียดไทย-กัมพูชาที่ยืดเยื้อ ความรุนแรงในตะวันออกกลางระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน และการปรับลดน้ำหนักหุ้นไทยใน FTSE Index ในสัปดาห์นี้ปัจจัยที่ต้องติดตาม คือ การประชุม กนง. ที่ตลาดคาดว่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 1.75%, ความคืบหน้าการเจรจาการค้ากับสหรัฐ และการพิจารณาแผนกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 1.57 แสนล้านบาทในวันที่ 24 มิถุนายน หุ้นแนะนำสัปดาห์นี้ คือ
ที่เราคาดว่าแนวโน้มกำไรจะผ่านจุดต่ำสุดใน 2Q/25 ซึ่งจะรับรู้ผลขาดทุนจากการเปิดโรงแรมใน Maldives ก่อนฟื้นตัวใน 3Q/25 ประกอบกับการเข้าสู่ High season ของโรงแรมสมุยในช่วงกรกฎาคม-สิงหาคม จะหนุนให้ผลประกอบการ 3Q/25 ฟื้นตัวแข็งแกร่ง ปัจจุบัน CENTEL ซื้อขาย EV/EBITDA ปี 2025 ที่ 11.8 เท่า เทียบกับกลุ่มที่ 14.2 เท่า ขณะที่ ROE คาดการ์ในปี 2025 ของ CENTEL อยู่ที่ 7.9% เทียบกับกลุ่มที่ 5.3% และ
จาก Valuation ที่ปรับตัวลงต่ำกว่าระดับ -1SD ของ P/BV ปี 2025 ซึ่งสะท้อนราคาถ่านหินที่ลดลงอย่างมากมาอยู่ที่ประมาณ 80 ดอลลาร์ต่อตัน และราคาก๊าซ LNG ของ US Henry Hub ที่ลดลงประมาณ 20% QoQ ใน 2Q/25 ส่งผลให้เกิดมุมมองเชิงลบต่อทั้งกลุ่ม อย่างไรก็ตาม คาดว่ากำไรจะฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 จากการฟื้นตัวของราคาก๊าซธรรมชาติในสหรัฐ จากการเจรจาภาษีตอบโต้ที่ยังดำเนินอยู่ นอกจากนี้ เรามองว่าราคาถ่านหินปัจจุบันมีความเสี่ยงขาลงที่ค่อนข้างจำกัด ทำให้ราคาหุ้น BANPU น่าสนใจสำหรับการเก็งกำไรระยะสั้น ทั้งนี้สำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนหุ้นไทย พร้อมลดหย่อนภาษีด้วยกองทุน Thai ESGX ยังสามารถลงทุนได้จนถึงวันที่ 30 มิ.ย. นี้
โดยหากเป็นเงินลงทุนก้อนใหม่ เราแนะนำ K-HDThaiESGX-68 ที่มีนโยบายลงทุนหุ้นยั่งยืนที่มีการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ และ K-70ThaiESGX-68 ที่มีนโยบายคล้ายกับกองแรกแต่มีการผสมตราสารหนี้เข้าไป30% โดยทั้งสองกองทุนมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่เกินปีละ 2 ครั้ง และสำหรับผู้ลงทุนที่จะโอนย้ายเงินลงทุนจาก LTF มา Thai ESGX เราแนะนำกองทุน K-HDThaiESGX-L และ K-70ThaiESGX-L โดยมีนโยบายการลงทุนไม่ต่างจากที่กล่าวมาข้างต้น
รู้ทันเกม รู้ก่อนใคร ติดตาม "ทันหุ้น" ได้ทุกช่องทางเหล่านี้
FACEBOOK :
ท้นหุ้น คลิก https://www.facebook.com/Thunhoonofficial/
ทันหุ้นออนไลน์ คลิก https://www.facebook.com/thunhoonnews
YOUTUBE : Thunhoon คลิก https://www.youtube.com/c/ThunhoonOfficial
Tiktok : Thunhoon คลิก https://www.tiktok.com/@thunhoon_/
เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา อ่านเพิ่มเติม