ทันหุ้น - บล.ทรีนีตี้ ส่องหุ้น บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TISCO คาดกำไร Q2/68 ที่ 1,553 ล้านบาท อ่อนตัว 6%QoQ และ 11%YoY และคาดรายได้ดอกเบี้ยสุทธิดีขึ้นเล็กน้อย ตามแนวโน้มสินเชื่อที่ยังพอเติบโตได้ แต่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยอาจอ่อนตัว หลังกำไรจากเงินลงทุน และรายได้ค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวเนื่องกับตลาดทุนได้รับผลกระทบจากภาวะตลาด โดยคาดค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สูงขึ้น หลังคาดแนวโน้ม NPL เพิ่มขึ้น ทั้งจากภาวะเศรษฐกิจ แนวโน้มครึ่งปีหลังยังมีปัจจัยกดดันจากภาวะเศรษฐกิจ และค่าใช้จ่ายสำรองหนี้ แม้ผลประกอบการระยะสั้นจะอ่อนตัว แต่ยังคาดปันผลค่อนข้างสูง
คาดกำไร Q2/68 อ่อนตัว หลังสำรองหนี้เพิ่ม ฝ่ายวิจัยคาดกำไร Q2/68 ที่ 1,553 ล้านบาท อ่อนตัว 6%QoQ และ 11%YoY โดยคาดรายได้ดอกเบี้ยสุทธิปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยราว 1%QoQ เนื่องจากคาดสินเชื่อจะยังพอเติบโตได้ราว 1%QoQ จากสินเชื่อธุรกิจ ขณะที่ NIM คาดว่าจะค่อนข้างทรงตัว แม้คาดว่า Yield จะอ่อนตัวลงตามแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย และสัดส่วนสินเชื่อธุรกิจที่เพิ่มขึ้น แต่คาดว่าต้นทุนดอกเบี้ยเงินฝากจะอ่อนตัวลงได้บ้างเช่นกัน ด้านรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยคาดอ่อนตัวลง 2%QoQ โดยหลักเป็นการลดลงของกำไรจากเงินลงทุน และรายได้ค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจตลาดทุนตามภาวะตลาด ทั้งนี้เราคาดว่าค่าใช้จ่ายสำรองหนี้จะเพิ่มขึ้นราว 19%QoQ คิดเป็น Credit Cost ที่ 75 bps สะท้อนแนวโน้ม NPL ที่อาจเพิ่มขึ้นจากภาวะเศรษฐกิจ รวมถึงอาจมี Technical NPL ที่เกิดขึ้นจากวันหยุดยาวในช่วงเดือน เม.ย.
แนวโน้มกำไรปี 2568 ยังไม่ค่อยสดใส สำหรับ แนวโน้มกำไรปี 2568 ที่ 6,554 ล้านบาท อ่อนตัว 5%YoY โดยมีปัจจัยกดดันหลักจากค่าใช้จ่ายสำรองหนี้ที่เพิ่มขึ้น ขณะที่แนวโน้มสินเชื่ออาจยังเติบโตได้ยากเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันทำให้ธนาคารยังต้องระมัดระวังในการขยายสินเชื่อ โดยหากกำไรงวด Q2/68 ออกมาตามคาด จะทำให้กำไร 1H68 คิดเป็นราว 49% ของประมาณการกำไรทั้งปี ขณะที่คาดกำไรใน 2H68 ยังถูกกดดันจากภาวะเศรษฐกิจ และค่าใช้จ่ายสำรองหนี้ ทั้งนี้หากแนวโน้มเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้น คาดว่าจะทำให้เริ่มเห็นกำไรปี 2569 กลับมาเติบโตได้บ้าง
จุดเด่นยังอยู่ที่ปันผล คงราคาเป้าหมายปี 2568 ที่ 104 บาท อิง PBV 1.82 เท่า โดย Upside ค่อนข้างจำกัด สะท้อนแนวโน้มผลประกอบการในระยะสั้นที่ยังอ่อนตัว แต่ยังมีจุดเด่นที่ปันผลคาดว่าจะทรงตัวอยู่ที่ 7.75 บาทต่อหุ้น แม้ว่ากำไรจะลดลงก็ตาม คิดเป็น Dividend Yield ราว 7.8% ต่อปี ฝ่ายวิจัยจึงยังคงคำแนะนำ “ซื้อ”
ความเสี่ยง แนวโน้ม NIM อ่อนตัว / ภาวะเศรษฐกิจมหภาคและหนี้ครัวเรือน
เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา อ่านเพิ่มเติม