#SCC #ทันหุ้น-บล.เอเซีย พลัส ออกบทวิเคราะห์หุ้นบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ SCC ที่ได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า บริษัทเอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (SCGC) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย จะปรับสถานะการลงทุนใน PT Chandra Asri Pacific Tbk (หรือ “CAP”) ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อินโดนีเซีย ที่ SCGC ถือหุ้น 30.57% จากเดิมที่เป็นบริษัทร่วม เป็นการลงทุนอื่น โดย SCGC อยู่ระหว่างเตรียมลดสัดส่วนการถือหุ้นใน CAP ลง 10.57% และลดการมีส่วนร่วมในการบริหาร CAP ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์ปัจจุบันของ SCC ในการลดภาระทางการเงิน
ฝ่ายวิจัยเอเซีย พลัส มองว่าการปรับสถานะใน CAP จากบริษัทร่วมเป็นการลงทุนอื่น ฝ่ายวิจัยประเมินผลบวก 5 ประเด็นคือ
1. SCC น่าจะมีกำไรจากการประเมินมูลค่ายุติธรรมใน CAP จากการเปลี่ยนวิธีบันทึกบัญชีตามวิธีส่วนได้เสียเป็นเงินลงทุนระยะยาว ซึ่งจะบันทึกด้วยมูลค่ายุติธรรมที่จะมีการประเมินโดยผู้ประเมินอิสระ
2. กำไรจากการขายหุ้น CAP สัดส่วน 10.57% ให้กับผู้ที่สนใจ โดย CAP มีมูลค่าตลาดปัจจุบันอยู่ที่ 1.78 ล้านล้านบาท อ้างอิงจากราคาหุ้น CAP ณ วันที่ 11 มิ.ย 68 ที่ 10,250 IND/หุ้น สูงกว่ามูลค่าตลาดปัจจุบันของ SCC ที่ปัจจุบันอยู่ที่ 202,800 ล้านบาท โดยงบการเงินสิ้นสุดปี 2567 ของ SCC บันทึกมูลค่าเงินลงทุนใน CAP ตามวิธีราคาทุนอยู่ที่ 28,761 ล้านบาท และบันทึกตามวิธีส่วนได้เสียอยู่ที่ 32,950 ล้านบาท เปรียบเทียบกับมูลค่าตลาดปัจจุบันของ CAP ตามสัดส่วนการถือหุ้น 30.57% ที่สูงถึง 5.4 แสนล้านบาท ( 1.78 ล้านล้านบาท x 30.57%) อย่างไรก็ตามปริมาณหุ้นหมุนเวียนในตลาดของ CAP ที่ต่ำมาก โดยมี Free float เพียง 9.3% ดังนั้นราคาหุ้นในตลาดจึงอาจไม่สะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของกิจการ
3. อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนที่ลดลงจากการนำเงินไปชำระหนี้
4. ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่ลดลงตามเงินกู้ยืมของบริษัทที่ลดลง
5. SCC ไม่ต้องแบกรับส่วนแบ่งขาดทุนตามส่วนได้เสียจาก CAP อีกต่อไป และจะรับรู้เฉพาะเงินปันผลที่ได้รับจาก CAP เท่านั้น โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา CAP มีผลการดำเนินงานขาดทุนอย่างต่อเนื่อง และเป็นส่วนหนึ่งที่กดดันผลประกอบการธุรกิจปิโตรเคมีของ SCC
แม้การประเมินผลกระทบในเชิงตัวเลขที่ชัดเจนน่าจะเกิดขึ้นภายในไตรมาส 2/68 หรืออย่างช้าไตรมาส 3/68 เพราะต้องที่ปรึกษาทางการเงินอิสระในการประเมินมูลค่ายุติธรรมของ CAP รวมถึงการหาผู้ซื้อหุ้น CAP สัดส่วน 10.57% แต่ฝ่ายวิจัยมีมุมมองเชิงบวกต่อการแจ้งเปลี่ยนนโยบายการลงทุนใน CAP เพราะเป็นการเตรียมความพร้อมของ SCC ในการเดินตามกลยุทธ์ลดภาระทางการเงิน รวมไปถึงการนำเงินที่ได้จากการขาย CAP ซึ่งเป็นกิจการที่มีกำไรต่ำและ SCC ไม่ได้เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุด ไปใช้ในการลงทุนเพิ่มศักยภาพโรงงานปิโตรเคมีที่เวียดนาม หรือ LSP ที่อยู่ระหว่างการลงทุนสร้างถังเก็บวัตถุดิบก๊าซอีเทน โดยใช้งบลงทุนรวม 500 ล้านเหรียญฯ ซึ่งการลงทุน Upgrade โรงงาน LSPถือเป็นโครงการสำคัญที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับ SCGC ได้ในระยะยาว
**เพิ่มน้ำหนักการลงทุน
ฝ่ายวิจัยเอเซีย พลัส ได้ปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้น SCC เป็น Outperform จากเดิมอยู่ที่ Neutral โดยให้ราคาเหมาะสมที่ 210 บาท มองว่าการดำเนินตามกลยุทธ์ที่เป็นรูปธรรมและผลบวกหลายด้านที่ตามมา จะทำให้ SCC เดินหน้าฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจที่กำลังเกิดขึ้นได้ขณะที่ธุรกิจหลักอื่นๆของ SCC ก็มีทิศทางที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจซีเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้างที่ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการประกาศปรับราคาปูนซีเมนต์ขึ้น 400 บาท/ตัน ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค 68 ส่วนธุรกิจ Packaging ก็อยู่ระหว่างการพลิกฟื้นผลประกอบการของบริษัทลูกในอินโดนีเซียคือ Fajar ให้กลับมาทำกำไรให้ได้ภายในไตรมาส 4/68
เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา อ่านเพิ่มเติม