#OSP #ทันหุ้น - ตลาดหุ้นไทยเมื่อวานปรับตัวเพิ่มขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่ 1,140-1,144 แต่ยังมีแรงขายออกมาต่อเนื่อง ทำให้แนวโน้มในระยะสั้นยังมีความเสี่ยงในการปรับตัวลดลงไปทดสอบแนวรับที่ 1,120-1,125 ถ้าหลุดจะมีโอกาสปรับตัวลดลงต่อเนื่องไปทดสอบแนวรับถัดไปที่ 1,090 สำหรับหุ้นที่น่าสนใจวันนี้ คือ OSP หรือ บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) ดำเนินธุรกิจหลักแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ตามลักษณะธุรกิจ กลยุทธ์ทางการตลาด และกลุ่มลูกค้า โดยมีกลุ่มธุรกิจหลักประกอบด้วย
1. กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม 2. กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล 3. กลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและลูกอม และส่วนธุรกิจธุรกิจให้บริการรับจ้างผลิตสินค้าและบรรจุภัณฑ์ (OEM) OSP เปิดเผยผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/68 มีกำไรสุทธิ 1,265 ล้านบาท เติบโต 52.7% เทียบช่วงเดียวกันปี 67 (YoY) และเพิ่มขึ้น 123.2%เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ)
ทั้งนี้หากแยกกำไรจากธุรกิจหลักในไตรมาสนี้ ทำได้ 970 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ จากการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ เติบโต 17.1% YoY และ 57.9% QoQ พร้อมรับรู้กำไรพิเศษจากการปรับโครงสร้างธุรกิจ
บริษัทมีรายได้จากการขาย 6,831ล้านบาท เติบโต 6.4% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า หลังรายได้จากตลาดต่างประเทศโตเด่น พร้อมเดินหน้าแผนบริหารต้นทุนเพื่อสร้างฐานธุรกิจที่แข็งแกร่งระยะยาว
ด้านกลุ่มเครื่องดื่มฟังก์ชันนัลดริงก์เติบโต 1.6% YoY โดยโอสถสภา ครองอันดับ 1 ด้วยส่วนแบ่งการตลาด 46.6% เพิ่มขึ้น 3.7% YoY จากการเติบโตของผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มซี-วิท ซึ่งมีส่วนแบ่งการตลาดในกลุ่มเครื่องดื่มวิตามินซีอยู่ที่ 76.3% เพิ่มขึ้น 3.4% YoY รวมถึงเครื่องดื่มเปปทีนและเครื่องดื่มคาลพิส ที่มีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน สะท้อนความต้องการผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ด้านสุขภาพ ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์การรุกสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อส่งมอบเครื่องดื่มที่ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลาย
ด้านกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคลมีรายได้เติบโต 10.1% YoY และมีการเติบโตโดดเด่นในตลาดต่างประเทศ ทั้งนี้ บริษัททำกำไรสุทธิ 1,265 ล้านบาท เติบโต 123.2% เมื่อเทียบไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 52.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
นางสาวรติพร ราษฎร์เจริญ Group Chief Financial Officer บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP เปิดเผยในงาน Oportunity Day ว่าปีนี้บริษัทคาดหวังยอดขายเติบโตในระดับ 2-5% แบ่งเป็นการเติบโตกลุ่มเครื่องดื่มในประเทศ (Domestic Beverages) คาดว่าจะโตช่วง 0-3% จากปีก่อนที่ติดลบ -2%, การเติบโตจากกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพ (Personal Care) และกลุ่มเครื่องดื่มในต่างประเทศ (International Beverages) คาดหวังการเติบโตมากกว่า 10% หรือในระดับตัวเลขสองหลัก (Double Digit)
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจในปีนี้ยังมีความท้าทายต่อธุรกิจ แต่บริษัทเริ่มรับมือตั้งแต่ปีก่อน จึงดำเนินการให้บริษทใช้เงินลงทุนให้คุ้มค่ามากที่สุด รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานเพื่อลดต้นทุนหรือค่าใช้จ่าย
โดยไตรมาส 2/68 คาดว่ากลยุทธ์เพิ่มมูลค่าในสินค้าคงคลังของบริษัท (Lean Stock) คาดว่าน่าจะแล้วเสร็จ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการใช้เงินกับแคมเปญด้านการตลาดในช่วงเวลาที่เหมาะสมได้รวดเร็วมากที่สุด โดยจะเจาะกลุ่มสินค้าให้ตรงตามความต้องการในแต่ละภูมิภาค ซึ่งจะช่วยเสริมให้ผลงานสุทธิของบริษัทแข็งแกร่งมากขึ้น
นอกจากนี้ในช่วงไตรมาส 2/68 บริษัทยังคงรุกด้านนวัตกรรม ซึ่งบริษัทจะมีแคมเปญเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ M150, ลิโพ และเครื่องดื่มสุขภาพอย่าง เปปทีน ออกมา ส่วนผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกายยังคงเน้นรุกสินค้าต่างๆ เช่น เบบี้มายด์ ซึ่งจะรุกขยายในต่างประเทศด้วย
ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นทะลุผ่านแนวต้านที่ 16.00 ขึ้นไป หลังจากปรับตัวลดลงต่อเนื่องไปทดสอบแนวรับของกรอบแนวโน้มขาลง ทำให้แนวโน้มของราคาหุ้นยังมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่ 18.00 และ 20.00 แต่ถ้าปรับตัวลดลงต่ำกว่า 15.50 ลงไป จะมีแนวรับถัดไปที่ 13.00-13.50
เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา อ่านเพิ่มเติม