#MINT #ทันหุ้น - ตลาดหุ้นไทยเมื่อวานฟื้นตัวไปทดสอบแนวต้านที่ 1,180 แต่ยังคงมีแรงขายต่อเนื่องก่อนที่จะลงไปเคลื่อนไหวที่บริเวณ 1,160 ถ้าปรับตัวลดลงต่อเนื่องไปเคลื่อนไหวต่ำกว่า 1,160 จะมีโอกาสปรับตัวลดลงต่อเนื่องไปทดสอบแนวรับถัดไปที่ 1,140 และ 1,120
สำหรับหุ้นที่น่าสนใจวันนี้ คือ MINT หรือ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ดำเนินธุรกิจด้านการลงทุนในบริษัทย่อยและบริษัทร่วมที่ดำเนินธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ธุรกิจโรงแรมและธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจโรงแรม ซึ่งรวมถึงโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อขาย โครงการพักผ่อนแบบปันส่วนเวลา และให้เช่าศูนย์การค้าและอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจบันเทิงและธุรกิจจัดจำหน่าย
MINT รายงานผลประกอบการไตราส 1/68กำไรสุทธิจากการดำเนินงานอยู่ที่ 50 ล้านบาท เทียบกับผลขาดทุนจากการดำเนินงาน 352 ล้านบาทในไตรมาส 1/67
ยอดขายโดยรวมทุกสาขาของ MINT อยู่ที่ 59 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 56% เมื่อเทียบกับรายได้ สะท้อนถึงประสิทธิภาพของโมเดลธุรกิจแบบที่ลดการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร (Asset-Light) ของเราและความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับพันธมิตรด้านการลงทุนและการพัฒนาที่มีชื่อเสียง
สำหรับธุรกิจโรงแรม ผลกระทบจากฤดูกาลอ่อนแรงลดลง แรงขับเคลื่อนพื้นฐานยังแข็งแกร่ง ไมเนอร์ โฮเทลส์ แสดงผลประกอบการที่ยืดหยุ่นแม้จะเผชิญกับฤดูกาลท่องเที่ยวที่ชะลอตัวในยุโรปช่วงไตรมาส 1 และผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ไม่เอื้ออำนวย โดยรายได้จากการดำเนินงานและ EBITDA (ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน) เติบโต 4% และ 7%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
โรงแรมในยุโรปมีการเติบโตของรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืน 8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเฉพาะในสเปน อิตาลี และกลุ่มประเทศเบเนลักซ์ ขณะที่รายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนของโรงแรมในประเทศไทยเพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ การเดินทางทางอากาศที่เพิ่มขึ้น และการได้รับความสนใจในระดับโลกจากซีรีส์ “The White Lotus Season 3” ของ HBO ซึ่งเลือกถ่ายทำที่รีสอร์ต ของ MINT ถึง 4 แห่ง
ด้านธุรกิจร้านอาหาร : คุณค่าของแบรนด์และการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพส่งมอบการเติบโตที่แข็งแกร่งไมเนอร์ ฟู้ด ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องในทุกตลาดหลัก โดยรายได้จากการดำเนินงานและ EBITDA (ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน) เพิ่มขึ้น 2% และ 2% เมื่อเทียบกับปีก่อน ตามลำดับ การเติบโตขับเคลื่อนโดยผลการดำเนินงานที่โดดเด่นของแบรนด์หลัก อาทิ เดอะ พิซซ่า คอมปะนี, บอนชอน, ซิซซ์เล่อร์ และเบอร์เกอร์ คิง รวมทั้งแคมเปญเชิงกลยุทธ์ เมนูพิเศษที่มีระยะเวลาขายจำกัด และการมุ่งเป้าขยายบริการจัดส่งช่วยสนับสนุนการเติบโตของรายได้และส่วนแบ่งตลาดที่เพิ่มขึ้น
นางสาวริรินดา ตังทัตสวัสดิ์ รองประธานฝ่ายวางแผนกลยุทธ์ บมจ. ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) เปิดเผยว่า บริษัทวางเป้าช่วง 3 ปี (68-70) รายได้เติบโตในระดับ High Single-Digit และกำไรเติบโตเฉลี่ยปีละ 10-15% โดยวางแผนเปิดโรงแรม-ร้านอาหารเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หลังโค้งแรกของปีสามารถสร้างกำไรจากการดำเนินงานได้ในไตรมาส 1 เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เข้าซื้อกิจการ เอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป หรือ ไมเนอร์ โฮเทลส์ ยุโรป แอนด์ อเมริกา (MHEA) เมื่อปี 61
ภาพรวมรายได้หลักของ MINT ในไตรมาส 1/68 อยู่ที่ 36,738ล้านบาท ลดลง 2% จากไตรมาสเดียวกันเมื่อปีก่อน แต่เติบโตขึ้น 3% หากไม่รวมผลกระทบอัตราแลกเปลี่ยน แบ่งเป็นธุรกิจโรงแรม 78% และธุรกิจอาหาร 22%ในส่วนกำไรสุทธิจากผลการดำเนินงานหลักอยู่ที่ 50 ล้านบาท พลิกจากผลขาดทุนการดำเนินงาน 352 ล้านบาทในไตรมาส 1/67
กลยุทธ์การขยายกิจการโรงแรมจะมุ่งไปในเรื่องการกระจายพื้นที่ที่ให้บริการและโมเดลธุรกิจให้หลากหลายมากขึ้น เพื่อความคล่องตัวในการประกอบกิจการ โดยมีแผนจะเพิ่มจำนวนโรงแรมในเครือ จาก 562แห่งในปัจจุบัน เป็น 850 แห่ง ในปี 2570 โดย 80-90%โรงแรมที่เปิดใหม่จะอยู่ภายใต้สัญญาการเข้ารับบริหาร เพื่อลดงบลงทุน
อีกทั้งยังมีแผนลดสัดส่วนโรงแรมในพื้นที่ยุโรปและทวีปอเมริกาเหนือ-ใต้ ที่ปัจจุบันคิดเป็น 61% ของห้องพักทั้งหมด ให้เหลือ 51%โดยจะเพิ่มสัดส่วนในแอฟริกา ตะวันออกกลาง และเอเชียให้มากขึ้นแทน ซึ่งจะมีหน้า Low และ High Season แตกต่างกันไปตลอดปี เพิ่มความสมดุลของพอร์ต โดยแนวโน้มโตรมาส 2/68 ซึ่งจะเป็น High Season ของโรงแรมยุโรป ก็ได้เห็นการเติบโตของยอดการจองแล้ว
ในส่วนของร้านอาหาร บริษัทตั้งเป้าขยายกิจการจาก 2,717 สาขา เป็น 4,114สาขา ทั่วโลกภายในปี 2570 โดยจะเพิ่มสัดส่วนของร้านอาหารแฟรนไชส์ขึ้นมาเป็น 56% จากเดิม 47%
นอกจากนี้ บริษัทได้ปรับลดงบลงุทนในปีนี้เหลือเพียง 7,000 ล้านบาท จากเดิมที่บริษัทวางงบลงทุนในปี 68 ไว้ 11,000 ล้านบาท เพื่อเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินให้ดียิ่งขึ้น โดยจะใช้งบในการรีโนเวทและขยายกิจการเป็นหลัก
ราคาหุ้นปรับตัวลดลงเข้าใกล้แนวรับของกรอบแนวโน้มขาลงที่ 23.00 หลังจากปรับตัวลดลงไปเคลื่อนไหวต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 200 วันที่ 26.50 แต่เราคาดว่า น่าจะเป็นแนวรับสำคัญของการปรับตัวลดลง และมีโอกาสฟื้นตัวกลับขึ้นไป แต่ถ้าราคาหุ้นสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นทะลุผ่านแนวต้านที่ 26.50 ขึ้นไป จะมีแนวต้านถัดไปที่ 30.00
เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา อ่านเพิ่มเติม