ทันหุ้น - บล.หยวนต้า ส่องหุ้น บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือ BCH สรุปสาระสำคัญจากประชุมนักวิเคราะห์ มีมุมมองเป็นบวก
โดยบริษัทให้ข้อมูลแนวโน้ม Q2/68 คาดรายได้ยังเติบโต QoQ, YoY เมื่อแบ่งตามกลุ่มลูกค้าคนไข้ไทยได้ผลบวกจากฤดูฝนปีนี้ที่มาเร็ว ทำให้การระบาดของโรคเพิ่มขึ้น ทั้งไข้หวัดใหญ่ และ COVID-19 โดย Occupancy rate ของคนไข้ IPD ปรับเพิ่มขึ้นราว 20% QoQ ขณะที่กลุ่มคนไข้ต่างชาติ กลุ่มลูกค้าจาก อเมริกา บังคลาเทศ ลิเบีย ยังเติบโตดี ชดเชยกลุ่มลูกค้าคูเวตที่หายจากการปรับนโยบายของรัฐบาลคูเวต และบริษัทยังมีการขยายตลาดใหม่ลูกค้าจาก มัลดีฟส์ ที่เริ่มเข้ามาในเดือน เม.ย. ส่วนรายได้จากประกันสังคมในเดือน เม.ย-พ.ค. คาดยังเติบโต YoY
ส่วนประเด็นผลกระทบเรื่องรายได้ จากบริการรักษาโรคอ้วนด้วยการผ่าตัดกระเพาะในส่วนของบริการประกันสังคม (SC) บริษัทชี้แจงว่าไม่กระทบเหมือน CHG เนื่องจาก BCH มีการรักษาไม่ถึง 10 เคส ซึ่งมีรายได้ที่น้อยมาก ขณะที่การเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลที่มีต้นทุนสูง (AdjRW>2) ยังได้อัตราที่ 12,000 ทั้งปี ตามที่ประกันสังคมประกาศ
บริษัทให้มุมครึ่งปีหลังจะเติบโตดีกว่าครึ่งปีแรก ซึ่งเข้า high season ของธุรกิจ และเติบโตจากปีก่อนจากฐานที่ต่ำ บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโต 8-10%YoY
แผนในการปรับปรุงสาขาและแผนการสร้าง รพ.ใหม่ยังเป็นไปตามกำหนด โดยมีแผนปรับปรุง รพ. 4 แห่ง (สาขา ปทุมธานี, แม่สาย, บางแค, และรามค าแหง ในช่วงปี 2568-2570) และแผนการสร้าง รพ.ใหม่ ได้แก่ รพ.เกษมราษฎร์ สุวรรณภูมิ ขนาด 268 เตียง เริ่มสร้าง Q3/68 เปิดปี 2570 , รพ.เกษมราษฎร์ ระยอง ขนาด 200-250เตียง เริ่มสร้าง Q3/68 เปิดปี 2570
ประเด็นข่าวที่ลงตามสื่อว่า กองทุนบัตรทองมีเงินกองทุนลดลงมาก และหากไม่มีการแก้ไข อาจทำให้ระบบรักษาฟรีสิ้นสุดลงภายใน 3 ปี และระบบสาธารณสุขล่ม ทางผู้บริหาร BCH ให้ความเห็นว่าไม่ได้กระทบต่อ BCH เนื่องจากไม่ได้มีรายได้จากโครงการบัตรทองของ สปสช. ซึ่ง รพ.เอกชนส่วนใหญ่ถอนตัวออกมาแล้ว และมองเป็นโอกาสบวกมากกว่าถ้าหากไม่มีโครงการบัตรทอง แม้จะเป็นลบต่อประชาชน แต่มีโอกาสที่จะมีผู้มาใช้บริการของบริษัทมากขึ้น อย่างไรก็ตามเมื่อวานนี้ทาง โฆษก สปสช. ออกมาแถลงข่าวยืนยันว่าระบบบัตรทอง จะไม่ล่มสลายแน่นอน
*BCH มุมมองฝ่ายวิจัย
ประเมินผลประกอบการจะกลับมาเติบโต YoY ตั้งแต่ใน Q2/68 ซึ่งเป็นการเติบโตจากฐานที่ต่ำในปีก่อนที่มีผลกระทบจากการถูกปรับลดการเบิกจ่ายค่ารักษาโรคซับซ้อน Adj RW>2 และเป็นการเติบโตจากฐานเดียวกันกับปีก่อนที่ไม่มีลูกค้าคูเวต
ปี 2568 ฝ่ายวิจัยคงประมาณการกำไรปกติที่ 1,632 ล้านบาทเติบโต 16%YoY โดยปัจจัยที่สนับสนุนการเติบโตในปีนี้ ได้แก่ 1) การเติบโตจาก Organic growth จำนวนผู้ป่วยเงินสดทั้ง OPD และ IPD ที่ฟื้นตัวดีตั้งแต่ต้นปีจากโรคระบาดที่เพิ่ม และผลจากฝุ่น PM2.5 ที่เกินมาตรฐานในกรุงเทพฯ ทำให้จำนวนผู้ป่วยที่เกี่ยวกับโรคทางเดินหายใจเพิ่มขึ้น
2) รายได้ประกันสังคมที่เติบโตดีขึ้น หลังจากประกันสังคม มีการประกาศยึดอัตราการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลที่มีต้นทุนสูง (AdjRW>2) คงที่ตลอดปี 12,000 บาท/AdjRW ทำให้ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกปรับลดเหมือนช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ที่ถูกปรับลดลงเหลือ 7,200-8,000 บาท/AdjRW
3) การฟื้นตัวจำนวนลูกค้าต่างชาติ ตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 เป็นต้นไป คาดกลุ่มลูกค้า CLMV และ ลิเบีย ฟื้นตัวดี ส่วนประเด็นลูกค้าคูเวตจะเป็นฐานเดียวกันที่หายไปตั้งแต่ปีก่อนและเราไม่ได้นับรวมในประมาณการ 4) การฟื้นตัวของ รพ.ใหม่ที่ทยอยเปิดในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเริ่มกลับมามีกำไร โดย รพ.สาขารัญประเทศและเวียงจันทร์คาดจะถึงจุดคุ้มทุนในปีนี้
คงคำแนะนำ “ซื้อ” ฝ่ายวิจัยมองราคาปรับลดลงมากไป สวนทางผลประกอบการปีนี้ที่คาดเติบโตดี โดยมองเป็นจังหวะเข้าลงทุน และยังคงมูลค่าพื้นฐานปี 2568 ที่ 20.40 บาท อิงวิธี DCFและสมมติฐาน WACC ที่ 7.6% ราคาปัจจุบันซื้อขายที่ P/E Band 5ปีที่ -1SD ซึ่งถือว่ายังถูก ฝ่ายวิจัยมองเป็นจังหวะในการกลับเข้าลงทุน
เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา อ่านเพิ่มเติม