ดำเนินธุรกิจหลักแบ่งเป็น 3 กลุ่มตามลักษณะธุรกิจ กลยุทธ์ทางการตลาด และกลุ่มลูกค้า โดยมีกลุ่มธุรกิจหลักประกอบด้วย
1.กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม
2.กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล และ
3. กลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและลูกอม ส่วนธุรกิจอื่นที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักประกอบด้วย ธุรกิจการให้บริการรับจ้างผลิตสินค้าและบรรจุภัณฑ์ (OEM) และธุรกิจให้บริการเทคโนโลยีการตลาด
ผลการดำเนินงาน ปี 67 มีกำไร 1,638 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.5453 บาท เมื่อเทียบกับผลการดำเนินงานปี 66 มีกำไร 2,402 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.7997 บาท
OSP รายงานผลการดำเนินงานปี 67 ทำรายได้จากการขาย 27,069 ล้านบาท เติบโต 3.9% มีกำไรสุทธิ 1,638 ล้านบาท แม้ลดลง 31.8% YoY จากการปรับโครงสร้างธุรกิจ ถือเป็นค่าใช้จ่าย One-Time Expenses ด้านผลงาน Q4/67 ทำรายได้จากการขาย 6,422 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 567 ล้านบาท ดันอัตรากำไรขั้นต้นใน Q4/67 แตะ 38.5% ทุบสถิติสูงสุดนับตั้งแต่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ บอร์ดเสนอจ่าย เงินปันผลครึ่งปีหลังอีก 0.30 บาทต่อหุ้น เตรียมขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 8 พ.ค.นี้ พร้อมตั้งเป้ารายได้ปี 68 เติบโตที่ระดับ Mid-Single-Digit เดินหน้าสร้างความแข็งแกร่งในฐานะผู้นำในตลาดของธุรกิจหลัก ปักธงสู่เป้าหมายรายได้แตะ 40,000 ล้านบาท ภายในปี 2571
นางสาวรติพร ราษฎร์เจริญ Group Chief Financial Officer บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานไตรมาส 4/2567 บริษัทมีรายได้จากการขาย 6,422 ล้านบาท เติบโต 6.3% QoQ ในขณะที่ปี 2567 มีรายได้จากการขายรวม 27,069 ล้านบาท เติบโต 3.9% YoY จากกลยุทธ์ความหลากหลายของกลุ่มผลิตภัณฑ์ (Brand Portfolio) ที่ผลักดันให้กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มมีรายได้รวม 22,154 ล้านบาท เติบโต 4.8% YoY และมีการเติบโตโดดเด่นในในต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น 29.6% YoY ด้วยรายได้ 6,199 ล้านบาท จากเมียนมาร์ ลาว และอินโดนีเซีย รวมถึงตลาดส่งออกที่เริ่มฟื้นตัว และเริ่มขยายตลาดสู่เวียดนามซึ่งมีศักยภาพและอัตราการเติบโตสูง ด้วยผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มแบบ 2-in-1 Energy + Rehydration เมื่อปลายปี 2567 ซึ่งได้รับผลตอบรับดีจากกลุ่มผู้บริโภคท้องถิ่น
ทั้งนี้โอสถสภาเป็นผู้นำตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลังด้วยส่วนแบ่งการตลาดรวม 45.8% ด้วยความหลากหลายของผลิตภัณฑ์และราคา ที่ตอบโจทย์ความต้องการพลังงานที่แตกต่างกัน โดยมีแบรนด์ M-150 ครองส่วนแบ่งการตลาด 32% ในขณะที่กลุ่มเครื่องดื่มฟังก์ชันนัลดริงก์เติบโต 9.3% YoY โดยมี C-Vitt เป็นผู้นำตลาดเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของวิตามินซีครองส่วนแบ่งการตลาด 74.5% เครื่องดื่มเปปทีนที่ออกผลิตภัณฑ์ใหม่เพิ่มคุณประโยชน์ครอบคลุมการบริโภคในโอกาสที่หลากหลาย รวมถึงเครื่องดื่มคาลพิสที่ทำการตลาดและออกสินค้ารสชาติใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง
รายได้ของกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคลในประเทศเติบโต 9.8% และในต่างประเทศเติบโต 47.7% YoY จากเมียนมา สปป.ลาว และเวียดนาม โดยรายได้กลุ่มผลิตภัณฑ์แบรนด์เบบี้มายด์เติบโต 15.1% YoY และครองตำแหน่งผู้นำตลาดผลิตภัณฑ์อาบน้ำเด็กต่อเนื่อง และกำลังก้าวสู่ผู้นำในตลาดแป้งเด็กและนำจุดแข็งความอ่อนโยนและความหอม ต่อยอดสู่นวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น เบบี้ มายด์ แอนด์ บียอนด์ ตอบโจทย์ผู้บริโภคที่กว้างขึ้นทั้งในกลุ่มเด็กเล็ก ผู้หญิง และครอบครัว รวมถึงการ Collaboration กับ Butterbear ที่เข้าถึงคนหลากหลายวัยให้หันมาทดลองใช้สินค้าเพิ่มขึ้น ในขณะที่รายได้ผลิตภัณฑ์สำหรับผู้หญิงแบรนด์ “ทเวลฟ์ พลัส” และผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ชายแบรนด์ “เอ็กซิท” เติบโต 7.3% YoY จากผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลาย
โอสถสภาเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตได้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากปรับสัดส่วนกำลังการผลิตให้เหมาะสม และการบริหารจัดการต้นทุนวัตถุดิบและพลังงานที่ลดลง ตลอดจนการเพิ่มขึ้นของสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศทั้งในกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มและผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคลที่มีอัตรากำไรสูงกว่าค่าเฉลี่ย ทำให้บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้น 37.3% เติบโต 2.8%YoY โดยในไตรมาส 4 ทำสถิติอัตรากำไรขั้นต้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 38.5% เติบโต 3%YoY และ 2.4% QoQ และมีกำไรสุทธิ 567 ล้านบาท เติบโต 31.0%YoY และ 256.9%QoQ ทั้งนี้ในปี 2567 บริษัทมีกำไรสุทธิรวม 1,638 ล้านบาท ลดลง 31.8% YoY จากการปรับโครงสร้างธุรกิจผ่านการจำหน่ายเงินลงทุนในธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก และรับรู้ผลขาดทุนสุทธิรวมเป็น จำนวน 1,400 ล้านบาท ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายเพียงครั้งเดียว (One-Time Expenses) อย่างไรก็ตามหากไม่รวมรายการพิเศษดังกล่าว บริษัทจะมีกำไรจากการดำเนินงานปกติ (Core Business) ในปี 2567 จำนวน 3,038 ล้านบาท เติบโต 39.3%YoY ตอกย้ำถึงศักยภาพและความแข็งแกร่งของธุรกิจที่ยังคงเติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่องและการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพในทุกมิติ
ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นเกิดสัญญาณฟื้นตัวทางเทคนิคเหนือแนวรับของกรอบแนวโน้มขาลง หลังจากปรับตัวลดลงทำจุดต่ำสุดใหม่ต่อเนื่อง ทำให้แนวโน้มของราคาหุ้นในระยะสั้นมีโอกาสฟื้นตัวไปทดสอบแนวต้านที่ 15.50 และ 16.00 แต่ถ้าปรับตัวลดลงต่ำกว่า 14.00 ลงไป จะมีแนวรับถัดไป 12.80-13.00
รู้ทันเกม รู้ก่อนใคร ติดตาม "ทันหุ้น" ได้ทุกช่องทางเหล่านี้
YOUTUBE คลิก https://www.youtube.com/c/ThunhoonOfficial
FACEBOOK คลิก https://www.facebook.com/thunhoonnews
Tiktok คลิก https://www.tiktok.com/@thunhoon_/
TELEGRAM คลิก https://t.me/thunhoon_news
X คลิก https://twitter.com/thunhoon1
Instagram คลิก https://instagram.com/thunhoon.news?/
เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา อ่านเพิ่มเติม