ดำเนินธุรกิจการกลั่นและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมสำเร็จรูปที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และเป็นโรงกลั่นที่มีประสิทธิภาพอยู่ในระดับชั้นนำแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2504 โดยมีธุรกิจหลักคือ โรงกลั่นนํ้ามัน ปัจจุบันมีกำลังการกลั่น 275,000 บาร์เรลต่อวันนอกจากนี้ ไทยออยล์ยังมีธุรกิจที่เกี่ยวข้องหลากหลาย
ผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 67 มีกำไรสุทธิ 5,546 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 2.48 บาท เมื่อเทียบกับผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 66 มีกำไรสุทธิ 1,117 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.50 บาท
ส่วนผลการดำเนินงาน 6 เดือนแรกของปี 67 มีกำไรสุทธิ 11,409 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 5.11 บาท เมื่อเทียบกับผลการดำเนินงาน 6 เดือนของปี 66 มีกำไรสุทธิ 5,671 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 2.54 บาท
นายบัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ไทยออยล์ (TOP) เปิดเผยว่า ในไตรมาส 2/67 กลุ่มไทยออยล์มีกำไรสุทธิ 5,547 ล้านบาท ปรับลดลงจากไตรมาสที่ 1 เล็กน้อย จากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับน้ำมันดิบดูไบได้รับแรงกดดันจากอุปทานที่ปรับเพิ่มขึ้นจากการเริ่มดำเนินการของโรงกลั่นในแถบแอฟริกา รวมถึงการส่งออกจากเอเชียไปยุโรปทำได้ยากขึ้น
ด้านธุรกิจอะโรเมติกส์ปรับตัวดีขึ้นจากส่วนต่างราคาสารพาราไซลีนและสารเบนซีนกับน้ำมันเบนซิน 95ปรับเพิ่มขึ้นจากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นในช่วงปลายฤดูร้อนของประเทศส่วนใหญ่ในภูมิภาคเอเชียที่นำไปใช้ในอุตสาหกรรมปลายน้ำสำหรับการผลิตขวดน้ำดื่ม และอุปทานที่ตึงตัวจากการปิดซ่อมบำรุงประจำปีของผู้ผลิตสารอะโรมาติกส์ในภูมิภาค
นอกจากนี้ ธุรกิจผลิตสารตั้งต้นสำหรับผลิตภัณฑ์สารทำความสะอาดปรับตัวดีขึ้นหลังได้รับแรงหนุนจากความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ซักล้างที่เพิ่มขึ้นในช่วงฤดูร้อนของประเทศส่วนใหญ่ในภูมิภาคเอเชีย สำหรับธุรกิจผลิตน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานปรับตัวลดลงจากส่วนต่างราคาของน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานและยางมะตอยกับน้ำมันเตาจากราคาน้ำมันเตาที่ปรับเพิ่มขึ้น
ราคาน้ำมันดิบในไตรมาส 2/67 ปรับตัวสูงขึ้นจากไตรมาส 1/67จากความกังวลเรื่องอุปทานน้ำมันดิบตึงตัวจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลางที่ยังมีความไม่แน่นอน ประกอบกับกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันดิบโอเปกและพันธมิตร (OPEC+) ยังคงขยายระยะเวลาปรับลดกำลังการผลิตต่อเนื่องไปถึงไตรมาส 3/67 ส่งผลให้กลุ่ม TOP มีกำไรจากสต๊อกน้ำมัน 1,395 ล้านบาท หรือ 1.4 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และมีกำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่มรวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมันอยู่ที่ 7.0 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในไตรมาส 2/67 ลดลง 3.5 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลจากไตรมาส 1 ของปี 67
สำหรับภาพรวมธุรกิจโรงกลั่นในช่วงครึ่งหลังของปี มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาส 2/67โดยได้รับแรงหนุนจากความต้องการใช้น้ำมันที่เพิ่มขึ้นตามฤดูกาล ทั้งในช่วงฤดูกาลขับขี่ของสหรัฐ การเดินทางทางอากาศที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และความต้องการใช้น้ำมันเพื่อทำความร้อน ทั้งนี้ ค่าการกลั่นยังได้รับแรงหนุนจากปริมาณน้ำมันสำเร็จรูปคงคลังที่แม้จะเพิ่มขึ้น แต่ยังคงอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ย 5 ปี
ในช่วงเดือน ส.ค.-ต.ค. ตลาดยังคงจับตาสถานการณ์พายุเฮอริเคนในทะเลแอตแลนติกที่คาดว่าปีนี้จะมีจำนวนมากกว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อทั้งอุปสงค์และอุปทาน อย่างไรก็ตาม การเปิดดำเนินการของโรงกลั่นใหม่ในแอฟริกาจะส่งผลกดดันให้ค่าการกลั่นปรับเพิ่มขึ้นในระดับที่จำกัด ขณะที่ความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจโลก อันเนื่องจากตัวเลขทางเศรษฐกิจทั้งสหรัฐ และจีนที่ไม่ดีนัก อาจกดดันราคาน้ำมันดิบในครึ่งปีหลัง
ทั้งนี้ TOP จะติดตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลกและสถานการณ์ตลาดอย่างใกล้ชิด เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงแสวงหาโอกาสในธุรกิจใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ Megatrends เพื่อต่อยอดไปสู่การเติบโตที่ยั่งยืนระดับองค์กร 100 ปี ภายใต้วิสัยทัศน์ "สร้างสรรค์คุณภาพชีวิต ด้วยพลังงานและเคมีภัณฑ์ที่ยั่งยืน"
รู้ทันเกม รู้ก่อนใคร ติดตาม "ทันหุ้น" ได้ทุกช่องทางเหล่านี้
YOUTUBE คลิก https://www.youtube.com/c/ThunhoonOfficial
FACEBOOK คลิก https://www.facebook.com/Thunhoonofficial/
Tiktok คลิก https://www.tiktok.com/@thunhoon_/
TELEGRAM คลิก https://t.me/thunhoon_news
X คลิก https://twitter.com/thunhoon1
Instagram คลิก https://instagram.com/thunhoon.news?/
เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา อ่านเพิ่มเติม