> SET > TOP

09 พฤษภาคม 2024 เวลา 13:02 น.

TOP ไตรมาส1/67กำไร 5.86 พันลบ. โต 28.7% จากกำไรสต็อกน้ำมัน

#TOP#ทันหุ้น-TOP  ไตรมาส1กำไร 5.86 พันลบ.โต 28.7% จากกำไรสต็อกน้ำมัน  หลังราคาน้ำมันดิบดูไบปรับตัวสูงขึ้น  พร้อมคาดราคานํ้ามันดิบใน ไตรมาส2/2567 -ครึ่งปีหลัง2567 ปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังความตึงเครียดในตะวันออกกลางมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น


นายบัณฑิต ธรรมประจําจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)หรือ TOP เปิดเผยว่า ไตรมาส1ปี 2567 บริษัทมีกำไรสุทธิ 5,862.94 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.7% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ  4,554.12 ล้านบาท  แม้รายได้จากการขายจะปรับตัวลดลง อยู่ที่  114,239 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 115,943 ล้านบาท จากตามราคาขายนํ้ามันสําเร็จรูปของหลายผลิตภัณฑ์ที่ปรับตัวลดลง รวมถึงปริมาณการขายลดลงเช่นกัน 


ทั้งนี้จากราคานํ้ามันดิบดูไบเฉลี่ยที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้กลุ่มไทยออยล์มีกําไรจากสต๊อกนํ้ามัน เพิ่มขึ้น 3,421 ล้านบาท จากขาดทุนจากสต๊อกนํ้ามันในไตรมาส1ปี 2566 ในขณะที่มีรายการปรับลดมูลค่าสินค้าคงเหลือนํ้ามันดิบและนํ้ามันสําเร็จรูปลดลง 617 ล้านบาท เมื่อรวมกับกําไรจากเครื่องมือทางการเงินที่เกิดขึ้นจริงสุทธิ(รวมเฉพาะรายการที่เกิดจากการป้องกันความเสี่ยงราคาสินค้าโภคภัณฑ์) ส่งผลให้กลุ่มไทยออยล์มีEBITDA เพิ่มขึ้น 2,767 ล้านบาทจากไตรมาส1ปี 2566


รวมถึงในไตรมาส1/2567 กลุ่มไทยออยล์มีผลขาดทุนจากการวัดมูลค่ายุติธรรมเครื่องมือทางการเงินจํานวน 147ล้านบาท เทียบกับผลกําไรจากการวัดมูลค่ายุติธรรมเครื่องมือทางการเงินจํานวน 158 ล้านบาทในไตรมาส1/2567 นอกจากนี้ ไตรมาส1/2567 มีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิ 871 ล้านบาท เทียบกับกําไรจากเครื่องมือทางการเงินจํานวน 571 ล้านบาทในไตรมาส1/2567 เมื่อหักค่าเสื่อมราคา ต้นทุนทางการเงิน และค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ ส่งผลให้มีกําไรสุทธิเพิ่มขึ้น 1,309 ล้านบาทจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน


ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567กลุ่มไทยออยล์มีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 428,357ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี ก่อน 8,364ล้าน

บาท สาเหตุหลักจากสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนเพิ่มขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของ ที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ สุทธิ จากการลงทุนในโครงการต่างๆ ตามแผนงาน เช่น โครงการพลังงานสะอาด รวมถึงสินทรัพย์ทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ามูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นเพิ่มขึ้นตามราคาหลักทรัพย์ที่บริษัทถือครอง ประกอบกับเงินลงทุนในการร่วมค้าและบริษัทร่วมเพิ่มขึ้น สําหรับหนี้สินรวมของกลุ่มไทยออยล์ปรับเพิ่มขึ้น 3,119 ล้านบาท จากสิ้นปี ก่อนมาอยู่ที่ 254,800ล้านบาท จากเงินกู้ยืมระยะยาวและหุ้นกู้ (รวมส่วนที่ถึงกําหนดชําระภายในหนึ่งปี )เพิ่มขึ้น โดยสาเหตุหลักจากเงินกู้ยืมระยะยาวจากสถาบันการเงินที่เพิ่มขึ้น รวมถึงหุ้นกู้สุทธิจากส่วนที่ถึงกําหนดชําระภายในหนึ่งปี เพิ่มขึ้นจากผลต่างของอัตราแลกเปลี่ยน ในขณะที่ส่วนของหุ้นกู้ที่ถึงกําหนดชําระภายในหนึ่งปี ลดลง ส่วนของผู้ถือหุ้นของกลุ่มไทยออยล์มียอดรวมทั้งสิ้น 173,557ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้น5,245 ล้านบาทจากสิ้นปีก่อน สาเหตุหลักมาจากผลกําไรสุทธิประจํางวดที่เพิ่มขึ้นจากกําไรจากการดําเนินงาน


สำหรับแนวโน้มภาวะอุตสาหกรรมในไตรมาสที่ 2 ปี 2567 และครึ่งหลังของปี 2567


ภาวะตลาดนํ้ามันดิบและผลิตภัณฑ์ ราคานํ้ามันดิบใน ไตรมาส2/2567 และครึ่งปีหลัง2567 มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า หลังสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น เนื่องจากได้มีการขยายวงการโจมตีโดยอิสราเอลเป็นวงกว้าง นอกจากนี้ผู้นํากลุ่มฮามาสได้ถูกสังหารทางอากาศ ในขณะที่การเจรจาสงบศึกยังคงไม่มีข้อสรุป ส่งผลให้ตลาดยังคงกังวลกับสถานการณ์ดังกล่าว นอกจากนี้สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดกําลังการผลิตกว่า 20% ของโรงกลั่นในรัสเซียได้รับผลกระทบจากการโจมตีทางอากาศ ในขณะที่กลุ่ม OPEC+คาดว่าจะคงอัตราการลดกําลังการผลิตต่อไปจนถึง Q4/67 


อย่างไรก็ตาม ตลาดยังจับตานโยบายอัตราดอกเบี้ยธนาคารกลางสหรัฐฯ หลังล่าสุดยังคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.25 – 5.50% และมีแนวโน้มที่จะยังคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงต่อไปจนถึงปลายปี 2567 เนื่องจากระดับเงินเฟ้อสหรัฐฯยังคงสูงกว่า 2% นอกจากนี้เศรษฐกิจจีนยังคงมีแนวโน้มอ่อนแอจากภาคอสังหาริมทรัพย์ แม้จะมีการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลจีนผ่านการอัดฉีดเงินก็ตาม


ธุรกิจโรงกลั่นในช่วง Q2/67 มีแนวโน้มอ่อนตัวลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับ Q1/67 หลังได้รับแรงกดดันจากโรงกลั่นใหม่หลายแห่ง เช่นAl-zour Duqm และ Dangote ดําเนินการผลิตอย่างเต็มกําลัง ส่งผลให้อุปทานเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ยังได้รับแรงกดดันจากค่าเรือขนส่งสินค้าที่อยู่ในระดับที่สูง ทําให้ให้อุปทานนํ้ามันสําเร็จรูปที่ส่งออกจากเอเชียไปยังยุโรปทําได้ยากขึ้น อย่างไรก็ตาม ธุรกิจโรงกลั่นยังได้รับแรงหนุนจากโรงกลั่นรัสเซียที่ยังคงอยู่ในระหว่างการปิดปรับปรุงจากการถูกโจมตีโดยยูเครน ซึ่งส่งผลให้ตลาดนํ้ามันดีเซลมีแนวโน้มตึงตัว ในขณะที่อุปสงค์นํ้ามันเบนซินปรับตัวสูงขึ้นจากช่วงฤดูกาลขับขี่ของสหรัฐฯ ท่ามกลางปริมาณสต๊อกนํ้ามันเบนซินและดีเซลโลกที่ยังคงอยู่ในระดับตํ่าเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง


ภาพรวมของธุรกิจโรงกลั่นในช่วง 2H/67 มีแนวโน้มปรับสู่สมดุลโดยอ่อนลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปี 1H/67 แต่ยังถือว่าสูงกว่าระดับก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19 เนื่องจากโรงกลั่นขนาดใหญ่ เช่น Dangote (0.65 ล้านบาร์เรลต่อวัน) คาดว่าจะเริ่มดําเนินการผลิตเต็มประสิทธิภาพปี2567 ส่งผลให้ตลาดนํ้ามันเบนซิน และดีเซลมีอุปทานมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ประเทศในตะวันออกกลางยังคงมีอุปสงค์การนํานํ้ามันเตาไปผลิตไฟฟ้าในขณะที่โรงกลั่นในเอเชียเข้าสู่ช่วงการปิดซ่อมบํารุงที่มากที่สุดในช่วงกลางปี 2567


ภาวะตลาดสารอะโรเมติกส์

ตลาดสารพาราไซลีนในช่วง Q2/67 คาดการณ์ว่าจะปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับ Q1/67 หลังคาดว่าอุปสงค์ในภูมิภาคยังคงถูกกดดันจากธุรกิจปลายนํ้าอย่างสารพีทีเอที่ยังไม่ฟื้นตัว แม้ว่าจะเริ่มเข้าสู่ฤดูร้อนที่มีการบริโภคบรรจุภัณฑ์ขวดนํ้าดื่มที่สูงขึ้น นอกจากนี้ ราคานํ้ามันดิบและราคานํ้ามันเบนซิน 95 ที่คาดว่าจะอยู่ในระดับสูง จะยังคงส่งผลกดดันส่วนต่างราคา สําหรับช่วง 2H/67 คาดการณ์ว่าตลาดสารพาราไซลีนจะปรับตัวดีขึ้น เมื่อเทียบกับ 1H/67 จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนที่คาดว่าจะส่งผลให้การบริโภค และท่องเที่ยวภายในประเทศสูงขึ้น ส่งผลให้ความ

ต้องการใช้เสื้อผ้า และบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่มปรับตัวสูงขึ้น


รู้ทันเกม รู้ก่อนใคร ติดตาม "ทันหุ้น" ที่นี่

FACEBOOK คลิก https://www.facebook.com/Thunhoonofficial/

YOUTUBE คลิก https://www.youtube.com/channel/UCYizTVGMealUUalT6VdUdNA

Tiktok คลิก https://www.tiktok.com/@thunhoon_

LINE@ คลิก https://lin.ee/uFms4n5

TELEGRAM คลิก https://t.me/thunhoon_news

Twitter คลิก https://twitter.com/thunhoon1

จาก
ถึง
Select...
หุ้น
Select...
หัวข้อ
Select...

ข่าวล่าสุด

อ่านต่อ

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา  อ่านเพิ่มเติม

X