#MTI #ทันหุ้น MTI กำไร 9 เดือน อยู่ที่ 544.55 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันปีก่อน ขณะที่ตัวเลขเบี้ยประกันภัยเพิ่มขึ้น มาอยู่ที่ 12,849.50 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.85% โดยตลาดประกันรถมีการขยายตัวดีต่อเนื่องหลังโควิด มีการกลับมาใช้รถ และเดินทางตามปกติซึ่งก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ค่าสินไหมจากการรับประกันรถเพิ่มขึ้น แต่ยังอยู่ในระดับที่น่าพอใจ ควบคุมได้

นางนวลพรรณ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ MTI เปิดเผยผลการดำเนินงาน 9 เดือน ปี 2566 บริษัทมีกำไร 544.55 ล้านบาท ลดลงราว 22% จากงวกเดียวกันปีก่อน ซึ่งมีกำไร 698.62 ล้านบาท ทั้งนี้ในส่วนของงบเฉพาะกิจการ มีกำไร 542.21 ล้านบาท ซึ่งลดลงประมาณ 22.15% จากงวดเดียวกันของปีก่อน

ทั้งนี้กำไรที่ลดลงเป็นผลมาจากหลายปัจจัย โดย 9 เดือนปี 2566 เบี้ยรับรวมของบริษัทเติบโตขึ้น ทั้งเบี้ยประกันรถยนต์ และประกันภัยทั่วไป เป็นผลมาจากาการเติบโตของธุรกิจทั้งภาคอุตสาหกรรมและบริการ สอดคล้องกับการเติบโตของตลาด

ขณะที่รายได้ค่าจ้างและค่าบำเหน็จจากการเอาประกันภัยต่อลดลง จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 180 ล้านบาท หรือลดลง 11.61% เนื่องจากบริษัทมีการปรับเพิ่้มสัดส่วนการรับความเสี่ยงภัยของงานประกันภัยรถยนต์ไว้เองมากขึ้น เป็นผลจากการที่บริษัทสามาระปรับปรุงผลการรับประกันภัยได้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ค่าใช้จ่ายสินไหมเพิ่มขึ้นในส่วนของประกันภัยรถยนต์ โดยอัตราส่วนสินไหมงานประกันรถยนต์มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นในปี 2566 แต่ยังคงอยู่ในระดับที่น่าพอใจเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม เป็นผลมาจากการขยายตัวของงานรับประกันรถยนต์ของบริษัท แบะการใช้งานรถยนต์ที่กลับมาสู่ภาวะปกติ ต่างจากช่วงเดียวกันของปี 2565 ที่อัตราค่าสินไหมต่ำ เนื่องจากสถานการณ์โควิด19 ที่มีการควบคุมการเคลื่อนย้าย และจำกัดเวลาออกจากเคหะสถาน

ในส่วนของอัตราส่วนสินไหมงานประกันภัยทั่วไปลดต่ำลงเมื่อเทียบกับปี 2565 เนื่องจากกรมธรรม์ประกันภัยไวรัสโคโรนา (COVID 19) สิ้นสุดความคุ้มครองไปแล้ว

9เดือนเบี้ยรวมโต

ทั้งนี้ 9 เดือนแรก MTI รายงานตัวเลขเบี้ยรับรวม อยู่ที่ 12,849.50 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.85% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันปีก่อนที่มีเบี้ยรับรวม 12,372.75 ล้านบาท โดยเป็นส่วนของประกันภัยรถยนต์อยู่ที่ 7,553.78 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.73% ซึ่งมีเบี้ยอยู่ที่ 7,212.39 ล้านบาท และประกันภัยอื่น 5,295.71 ล้านบาท เพิ่มขึ้น2.62% อยู่ที่ 5,160.36 ล้านบาท

โดยเบี้ยประกันภัยรับสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 6,477.87 ล้านบาท เป็น 7,902.88ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.99% จากทั้งงานประกันภัยรถยนต์และประกันภัยทั่วไป ในส่วนของเบี้ยประกันภัยที่ถือเป็นรายได้เพิ่มขึ้นจาก 6,318.76 ล้านบาท เป็น 7,356.32 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 16.42% และรายได้ค่าบำเหน็จ และนายหน้าลดลง 180.69 ล้านบาท หรือลดลง 11.61% จากการประกันภัยต่อของงานประกันภัยรถยนต์ที่ลดลงจากการรับความเสี่ยงภัยไว้เองมากขึ้นในปีนี้

รายได้และกำไรจาการลงทุนในหลักทรัพย์และรายได้อื่นสุทธิเพิ่มขึ้นจาก 24.80 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีก่อนคิดเป็น 5.22% เนื่องจากมีโอกาสในการขายเงินลงทุนในหลักทรัพย์เพื่อทำกำไรมากขึ้น ทั้งนี้ค่าใช้จ่ายสินไหมทดแทนสุทธิจำนวน 4,113.88 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นในอัตรา 22.53% จากปีก่อน การเพิ่มขึ้นของอัตราสินไหมทดแทนที่เพิ่มในส่วนของประกันภัยรถยนต์นั้น เป็นไปตามการเติบโตของพอร์ตประกันภัยรถยนต์ที่เพิ่มขึ้น

สำหรับงวด ไตรมาส 3 บริษัทมีกำไรสุทธิ 201.76 ล้านบาท ลดลง 220.77 ล้านบาท โดยในส่วนของเบี้ยรับรวมอยู่ที่ 4,509.48 เพิ่มขึ้น 2.66% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีเบี้ยอยู่ที่ 4,392.27 ล้านบาท โดยแยกสัดส่วนมาจากเบี้ยประกันภัยรถยนต์ 2,505.97 ล้านบาท เพิ่มขึ้น5.44% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีเบี้ยราว 2,376.56 ล้านบาท และเบี้ยประกันภัยอื่น 2,003.50 ล้านบาท ลดลง 0.60% จากงวดเดียวกันปีก่อนซึ่งมีเบี้ยอยู่ที่ 2,015.70 ล้านบาท