ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวขึ้นสู่ 18.7-19.3% เติบโตจากอัตรากำไรขั้นต้น 3Q/2565 ที่ 17.0%เนื่องจากรับรู้งานซ่อมบำรุงที่เพิ่มขึ้น ด้านค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่เป็นตัวเงินทรงตัวที่ระดับ 8.5-9.0 ล้านบาท แต่เมื่อพิจารณาเป็น เปอร์เซ็นต์ต่อรายได้เพิ่มขึ้นจาก 4.1%ในไตรมาสก่อนสู่ 7.0% เนื่องจากรายได้ปรับตัวลงตามปัจจัยฤดูกาล ทั้งนี้บริษัทรายงานกำไร 9M/2565ที่ 50.8 ล้านบาท เป็นไปตามที่เราคาดไว้ เติบโต 33%YoY และคิดเป็น 79% ของประมาณการ
กรุงเทพฯ มีแผนเพิ่มความสามารถในการบำบัดน้ำเสีย และระบายน้ำเป็น 2 เท่าและ 2.4 เท่าภายในปี 2570 : ปัจจุบัน กรุงเทพฯ มีโรงควบคุมคุณภาพน้ำ 22 แห่ง สามารถบำบัดน้ำเสียรวม 1,483,400ลูกบาศก์เมตรต่อวัน ซึ่งคิดเป็นเพียงความสามารถในการบำบัดน้ำเสียได้อยู่ที่ร้อยละ 59.07เมื่อเทียบกับปริมาณการใช้น้ำประปาที่ 2,511,468 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน โดยกรุงเทพมหานคร มีแผนจะสร้างโรงควบคุมคุณภาพน้ำอีก 12แห่งภายในปี 2570 เพื่อให้สามารถบำบัดน้ำเสียได้วันละ 3ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน
นอกจากนี้กรุงเทพฯ มีแผนเพิ่มความสามารถในการระบายน้ำอีก 140% ภายในปี 2570 ปัจจุบันกรุงเทพฯ มีอุโมงค์ระบายน้ำ 4แห่งสามารถระบายน้ำได้ 195 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที โดยมีแผนเพิ่มอุโมงค์ระบายน้ำอีก 6 แห่งเพื่อให้สามารถระบายน้ำได้เป็น 463ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีภายในปี 2570 เนื่องจากกรุงเทพฯ มีปัญหาน้ำท่วมจากฝกตกในหลายพื้นเพราะไม่สามารถระบายน้ำได้ตามแผน
คงประมาณการกำไรปี 2565 และ 2566 เติบโต 22%YoY และ 32%YoY ตามลำดับ : คาดรายได้ปี 2565 อยู่ที่ 654 ล้านบาท เติบโต 23%YoY โดยได้แรงหนุนจาก 1. รับรู้รายได้จากโครงการโรงควบคุมคุณภาพน้ำดินแดง และโครงการอุโมงค์ระบายน้ำสิ้นสุดอายุ มีนาคม 2564และบริษัทได้ต่อสัญญาในเดือน มิถุนายน 2564 ทำให้ปี 2564รับรู้รายได้เพียง 9 เดือนขณะที่ปี 2565รับรู้รายได้เต็มปี
และ 2. รับรู้รายได้จากโครงการใหม่ อาทิ โครงการมีนบุรี โครงการศูนย์การค้า จ.สมุทรปราการ โครงการโรงพยาบาลเกื้อการุณย์ ขณะที่คาดอัตรากำไรขั้นต้นจะปรับตัวลงเล็กน้อยจาก 19.0%เหลือ 18.0%เนื่องจากการเริ่มโครงการใหม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเทียบกับรายได้จะปรับตัวลงจาก 7.1%เหลือ 5.8%เนื่องจากค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่เป็นค่าใช้จ่ายคงที่ ทั้งนี้เราคาดการณ์กำไรปี 2565อยู่ที่ 63.9 ล้านบาท เติบโต 22%YoY และคาดการณ์รายได้และกำไรปี 2566 จะอยู่ที่ราว 804 ล้านบาท และ 84.5 ล้านบาท เติบโต 23%และ 32% ตามลำดับ เนื่องจากพร้อมเข้าร่วมประมูลงานใหม่ราว 1.5พันล้านบาท ในปี 2566
เริ่มต้นคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเหมาะสม 2.54 บาทต่อหุ้น : ฝ่ายวิจัยประเมินมูลค่าด้วยวิธี Discounted Cash Flow (DCF) ซึ่งแสดงสมมติฐานตามตารางด้านล่าง ได้อัตราคิดลดเฉลี่ย (WACC) ที่ 8.37%โดยคำนวณราคาเหมาะสมปี 2566 อยู่ที่ 2.54บาทต่อหุ้น ซึ่งสูงกว่าราคาปิดล่าสุดจึงแนะนำ “ซื้อ”
รู้ทันเกม รู้ก่อนใคร ติดตาม "ทันหุ้น" ได้ทุกช่องทางเหล่านี้
YOUTUBE คลิก https://www.youtube.com/c/ThunhoonOfficial
FACEBOOK คลิก https://www.facebook.com/Thunhoonofficial/
Tiktok คลิก https://www.tiktok.com/@thunhoon_
TELEGRAM คลิก https://t.me/thunhoon_news
Twitter คลิก https://twitter.com/thunhoon1
Instagram คลิก https://instagram.com/thunhoon.news?igshid=YTY2NzY3YTc=
เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา อ่านเพิ่มเติม