#SCC #ทันหุ้น - ตลาดหุ้นไทยเมื่อวานเคลื่อนไหวในกรอบแคบที่บริเวณ 1240 เพื่อสร้างฐาน หลังจากปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทะลุผ่านแนวต้านสำคัญที่ 1220-1230 ขึ้นไป ทำให้แนวโน้มในระยะสั้นยังมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องไปทดสอบแนวต้านถัดไปที่ 1275-1280 แต่มีแนวรับสำคัญที่ 1220 ถ้าหลุดจะมีแนวรับถัดไปที่ 1180 และ 1160
สำหรับหุ้นที่น่าสนใจวันนี้ คือ SCC หรือ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) ดำเนินธุรกิจการลงทุน (Holding company) ในกลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ 1. เอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์ 2. เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง 3. เอสซีจี ดิสทริบิวชั่นแอนด์รีเทล 4. เอสซีจี เดคคอร์ 5. เอสซีจี เคมิคอลส์ (เอสซีจีซี) 6. เอสซีจีพี
SCC รายงานผลประกอบการในไตรมาส 2/68 ว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 17,337 ล้านบาท จากไตรมาส 2/67 ที่มีกำไรสุทธิ 3,708 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13,629 ล้านบาท หรือ 368% โดยมาจากรายการพิเศษ คือรายการปรับโครงสร้างที่เกี่ยวกับ PT Chandra Asri Pacific Tbk. (CAP) รวม +16,712 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายปรับโครงสร้างการดำเนินงานและธุรกิจ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน รวม -1,542 ล้านบาท ทำให้มีรายการพิเศษในไตรมาสนี้ 15,170 ล้านบาท
ส่วนกำไรที่ไม่รวมรายการพิเศษ อยู่ที่ 2,167 ล้านบาท ลดลง 1,541 ล้านบาท หรือ 42% YoY และลดลง 97% QoQ สาเหตุหลักจากค่าใช้จ่ายจากลองเซินปิโตรเคมิคอลส์คอมเพล็กซ์ (LSP) เพิ่มขึ้น (จากค่าเสื่อมราคาและ ดอกเบี้ย) ประกอบกับในไตรมาสที่ 2/68 เอสซีจี เคมิคอลส์ (เอสซีจีซี) มีขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ 913 ล้านบาท ในขณะที่ช่วงเดียวกันของปีก่อน มีขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ 363 ล้านบาท รวมถึงค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น และผลการดำเนินงานที่ลดลงของเอสซีจีพี และเอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง และเอสซีจี ดิสทริบิวชั่นแอนด์รีเทล
ในไตรมาส 2/68 บริษัทฯมีกระแสเงินสดแข็งแกร่ง มี EBITDA อยู่ที่ 17,431 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35%จากเงินปันผลรับตามฤดกาลจากการลงทุนในธุรกิจอื่น (SCG Investment) รวมถึงผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นจากไตรมาสก่อน ของธุรกิจซีเมนต์ แอนดกรีนโซลูชั่นส์ และธุรกิจแพคเกจจิ้ง
ส่วนรายได้จากการขายในไตรมาส 2/68 อยู่ที่ 124,685 ล้านบาท +0.2% ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน (QoQ) และ ลดลง 3% เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน (YoY) ส่วนใหญ่จากทุกธุรกิจ ยกเว้น เอสซีจี ซีเมนต์ แอนด์ กรีนโซลูชันส์ ที่มียอดขายเพิ่มขึ้นจากปริมาณขาย ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการปรับราคาสินค้าในประเทศ
ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 68 EBITDA อยู่ที่ 30,320 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากเงินปันผลรับจากการลงทุนในธุรกิจอื่น (SCG Investment) ที่เพิ่มขึ้น และผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของเอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์ จากยอดขายที่ปรับเพิ่มขึ้น การบริหารจัดการภายในให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ประกอบกับการปรับราคาสินค้าในประเทศ
กำไรสำหรับงวดอยู่ที่ 18,436 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12,303 ล้านบาท หรือ 201% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งรวมรายการพิเศษ แต่กำไรสำหรับงวดที่ไม่รวมรายการพิเศษ อยู่ที่ 3,266 ล้านบาท ลดลง 2,867 ล้านบาท หรือ 47%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักจากค่าใช้จ่ายจากลองเซินปิโตรเคมิคอลส์คอมเพล็กซ์ (LSP) เพิ่มขึ้น (จากค่าเสื่อมราคาและดอกเบี้ย) ประกอบกับในช่วงครึ่งปีแรก บมจ.เอสซีจี เคมิคอลส์ มีขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ 1,001 ล้านบาท ขณะที่ช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ 597 ล้านบาท รวมถึงค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น
รายได้จากการขายอยู่ที่ 249,077 ล้านบาท ลดลง 1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากยอดขายที่ลดลงจากเอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง และ เอสซีจี ดิสทริบิวชั่นแอนด์รีเทล เอสซีจีพี และเอสซีจี เดคคอร์
สำหรับแนวโน้มธุรกิจ โดยธุรกิจเคมิคอลส์ แนวโน้มราคาน้ำมันอยู่ในระดับทรงตัว ส่วนความต้องการใช้ซีเมนต์ในประเทศคาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากการดำเนินโครงการของภาครัฐ เช่นเดียวกับในภูมิภาคที่ยังคงมีอัตราการเติบโตสูงที่ประมาณ 5-10%
SCC มีความมุ่งมั่นต่อเนื่องในการลดหนี้สินสุทธิ โดยมีการดำเนินงาน ดังนี้
1. รายจ่ายลงทุนและเงินลงทุนในปี 68อยู่ที่ประมาณ 30,000 ล้านบาท และมีความยืดหยุ่นในการปรับลด
2. EBITDA คาดการณ์ปรับเพิ่มขึ้นในปี 68เมื่อเทียบกับปี 67 ซึ่งเป็นผลมาจากการบริหารจัดการภายใน ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
3.โอกาสในการขายสินทรัพย์ (Asset Divestments)
ในปี 68 SCC มีหุ้นกู้ที่ครบกำหนดอยู่ที่ 55,200 ล้านบาท โดยอัตราการต่ออายุหุ้นกู้ (Re-subscription rate) ของเอสซีจี ในช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ประมาณ 90%นอกจากนี้ยังเตรียมความพร้อมสำหรับช่วงครึ่งปีหลัง เน้นเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารสินทรัพย์ในธุรกิจในอาเซียน ดำเนินงานต่อเนื่องบริหารจัดการภายในเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ เพิ่มสัดส่วนสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (High Value-Added) หรือ HVA และเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้าโดยพัฒนากลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพที่เหมาะสมกับราคา (Smart Value Product) ขยายปูนคาร์บอนต่ำ Gen 2 และ Gen 3 รวมถึงขยายไปยังตลาดอาเซียน
ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องหลังจากทะลุผ่านแนวต้านสำคัญที่ 180 ขึ้นไปทดสอบแนวต้านของเส้นแนวโน้มขาลงระยะยาวที่ 204 ก่อนที่จะถูกขายทำกำไร ทำให้แนวโน้มของราคาหุ้นยังมีความเสี่ยงในการปรับตัวลดลงไปทดสอบแนวรับที่ 180 แต่ถ้าสามารถทะลุผ่านแนวต้านที่ 210 ขึ้นไป จะมีแนวต้านถัดไปที่ 240
เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา อ่านเพิ่มเติม