#AAI #ทันหุ้น – บิ๊ก AAI ชี้แม้ไทยจะถูกเก็บภาษี 36% แต่ลูกค้ายังคงอยู่ไม่สูญเสียตลาด เหตุไทยมีฝีมือตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงพรีเมียม รับลูกค้ายอมเพิ่มราคาขายแทน ปัจจุบันออเดอร์สั่งซื้อเข้าเพียบ หวังผลิตส่งสินค้าก่อนเส้นตาย 1 สิงหาคม มั่นไทยเจรจาเต็มที่เชื่อสุดท้ายภาษีไม่ถึง 36% วอนดูแลค่าบาท
นายเอกราช พรรณสังข์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ AAI เปิดเผยกับ “ทันหุ้น” ถึงสถานการณ์ล่าสุดกรณีที่สหรัฐอเมริกา ประกาศเรียกเก็บภาษีศุลกากรจากไทยในอัตราสูงถึง 36% โดยจะมีผลวันที่ 1 สิงหาคม 2568 ว่า ขณะนี้สถานการณ์ยังคงมีความไม่แน่นอนสูง เปรียบเสมือน “ฝุ่นตลบ” ที่ยังต้องจับตาดูผลการเจรจาอย่างใกล้ชิดก่อนจะถึงวันที่ 1 สิงหาคม และยังคงเชื่อว่า อัตราภาษีนำเข้าที่ 36% นั้น สุดท้ายน่าจะมีการปรับลดลงเหมือนกรณีของเวียดนาม ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ไทยเองก็กำลังเดินหน้าเจรจาอยู่อย่างเต็มที่
@แห่สั่งซื้อตุนก่อนเส้นตาย
สำหรับผลกระทบหลังจากที่สหรัฐประกาศภาษีนำเข้าจากไทยที่ 36% ล่าสุดนั้น ยอมรับว่าทำให้ลูกค้าในสหรัฐอยู่ในสภาวะงง และยังไม่แน่ใจสถานการณ์ข้างหน้า ดังนั้นจึงได้เร่งสั่งสินค้าเข้ามาเป็นจำนวนมาก และต้องการที่จะให้มีการผลิต การส่งสินค้าต่างเป็นไปอย่างเร็วที่สุดเพื่อตุนสต็อก ซึ่งทางบริษัทก็ได้มีการเร่งเดินหน้าเรื่องนี้
“ปัจจุบันการส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงของ AAI ไปยังสหรัฐ ถูกเก็บภาษีที่ 10% แต่การประกาศที่ 36% แม้จะยังไม่ได้ขึ้นทันที แต่ก็ทำให้ลูกค้าในสหรัฐ เร่งสั่งซื้อสินค้าให้เร็วที่สุดเพื่อตุนสต๊อก และกำชับว่าห้ามส่งมอบล่าช้าเด็ดขาด”
@วางแผนรองรับแล้ว
นายเอกราช กล่าวด้วยว่า บริษัทได้มีการเตรียมการและคิด “แผน 1 แผน 2 แผน 3” ไว้แล้วเพื่อรับมือกับสถานการณ์ภาษีที่แตกต่างออกไปในที่สุด อย่างไรก็ตามเนื่องจากไทยมีจุดเด่นในการด้านการการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงระดับพรีเมียม โดยเฉพาะ Pet Food ที่ต้องผ่านการรับรองและมาตรฐานที่เข้มงวดสูงมาก เช่น การติดเครื่องจักร การผ่านกระบวนการต่างๆ แบบมาตรฐาน และต้องใช้ฝีมือในการผลิต ซึ่งไม่สามารถสลับหรือปรับเปลี่ยนการผลิตได้ภายในวันเดียว ดังนั้นมองว่า ลูกค้ายังคงต้องการสินค้าจากไทยอยู่
ซึ่งภาษีที่เพิ่มขึ้นสุดท้ายแล้วการปรับราคาสินค้าภายในประเทศของสหรัฐ อาจจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แม้แต่ผู้ผลิตภายในประเทศของสหรัฐ เองก็เริ่มมีการปรับราคาสินค้าแล้วเช่นกัน เนื่องจากผู้ผลิตในสหรัฐ ก็ยังคงต้องนำเข้าส่วนผสม (Ingredient) และบรรจุภัณฑ์ต่างๆ ซึ่งก็ล้วนแล้วแต่โดนภาษีนำเข้า
อย่างไรก็ตามในส่วนของสหรัฐเองจะมีความสามารถในการผลิตอาหารสัตว์แบบแห้ง ซึ่งเป็นตลาดระดับล่างหรือ Mass Product ด้วยต้นทุนที่ดีกว่า ส่วนอาหารสัตว์แบบเปียกซึ่งเป็นตลาดพรีเมียม ก็ยังต้องนำเข้าจากไทย
@ ไม่หวั่นถูกชิงตลาด
ทั้งนี้สหรัฐ จะเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดและมีมูลค่าในตลาดพรีเมียม Pet Food สูงถึง 20-30% ของตลาดโลก ส่วนกรณีที่เวียดนามได้รับอัตราภาษี 20% ต่ำกว่าไทย ยังไม่น่ากังวลในการเข้ามาชิงตลาด Pet Food ระดับพรีเมียม เนื่องจากยังต้องอาศัยระยะเวลาในการปรับตัวและมาตรฐานต่างๆ เพื่อตอบสนองความต้องการมาตรฐานสูงของลูกค้าได้
ส่วนความต้องการจากรัฐบาลไทยนั้น ต้องการให้การเจรจาประสบความสำเร็จ นอกจากนี้ยังควรติดตามค่าเงินบาท ไม่ให้แข็งค่า โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่น พร้อมกับตั้งข้อสังเกตว่า แต่ค่าเงินบาทยังคงแข็งค่ากว่าประเทศเพื่อนบ้าน โดยปัจจุบันยังมองเป้าหมายยอดขายภาพรวมทั้งปีเหมือนเดิม
เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา อ่านเพิ่มเติม