> SET > CK

18 มิถุนายน 2025 เวลา 13:41 น.

หุ้นรับเหมาก่อสร้าง มุมมอง บล.กสิกรไทย จับตาการอนุมัติโครงการขนาดใหญ่ที่รออยู่


#หุ้นรับเหมา #ทันหุ้น - บทวิเคราะห์หุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง โดย บล.กสิกรไทย

.

จับตาการอนุมัติโครงการขนาดใหญ่ที่รออยู่

1) รถไฟสายสีแดง (ศาลายา–ศิริราช) อนุมัติแล้ว 2) EEC มีแผนที่จะเลื่อน NTP ออกไป 1 เดือน และ 3) ปรับค่าแรงขั้นต่ำใน กทม. ขึ้น 8% เป็น 400 บาท

มุมมองบวกต่อความคืบหน้าโครงการรถไฟสายสีแดง แต่เชื่อว่า NTP ของโครงการรถไฟความเร็วสูงและสนามบินอู่ตะเภาจะเป็นปัจจัยกระตุ้นสำคัญ

คงมุมมองที่เป็นบวกต่อกลุ่มธุรกิจนี้ หนุนโดยความคืบหน้าโครงการภาครัฐ และแนวโน้มกำไรปกติที่ปรับตัวดีขึ้นในไตรมาส 2–4

.

โครงการรถไฟสายสีแดง

จากเว็บไซต์รัฐบาลไทย รายงานว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบโครงการส่วนต่อขยายรถไฟสายสีแดง ช่วงตลิ่งชัน–ศาลายา และตลิ่งชัน–ศิริราช มูลค่าโครงการรวม 1.47 หมื่นลบ. โดยคาดว่าจะเปิดประมูลได้ภายในปี 2568 โครงการรถไฟสายสีแดงของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) สายปัจจุบันที่ดำเนินการอยู่ ก่อสร้างโดย STECON ("ซื้อ" และราคาเป้าหมายที่ 9.86 บาท), ITD (ไม่ได้วิเคราะห์), และ UNIQ (ไม่ได้วิเคราะห์)

.

ส่วนโครงการส่วนต่อขยายรถไฟสายสีแดงที่อยู่ในแผน ได้แก่

รังสิต–ธรรมศาสตร์ มูลค่าโครงการก่อสร้าง 4.10 พันลบ. ซึ่ง ครม. อนุมัติแล้วในไตรมาส 1/2568 และคาดว่าจะเปิดประมูลได้ในไตรมาส 3/2568

บางซื่อ–พญาไท–มักกะสัน–หัวหมาก (The Missing Link) มูลค่าโครงการก่อสร้าง 4.30 หมื่นลบ. ซึ่งอยู่ระหว่างรอการอนุมัติจาก ครม.

.

โครงการสนามบินอู่ตะเภาและรถไฟความเร็วสูง

จากสำนักข่าวผู้จัดการออนไลน์ ในโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เปิดเผยว่ารัฐบาลเตรียมเลื่อนประกาศหนังสือแจ้งให้เริ่มงาน (NTP) ออกไป 1 เดือน จากกำหนดเดิมในวันนี้ (18 มิ.ย.) ซึ่งครอบคลุมทั้งโครงการรถไฟความเร็วสูงและสนามบินอู่ตะเภา

โครงการแรก คือ โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน มูลค่าโครงการรวม 2.25 แสนลบ. ซึ่งอยู่ระหว่างการแก้ไขสัญญา เจ้าของโครงการคือ Asia Erawan (CP Group 85%, ITD 10% และ BEM 5%) โดยมี ITD (จดทะเบียนใน ตลท. แต่บล.กสิกรไทยไม่ได้วิเคราะห์) เป็นผู้รับเหมาหลัก

โครงการที่สอง คือ โครงการสนามบินอู่ตะเภา มูลค่า 2.19 แสนลบ. เจ้าของโครงการคือกลุ่ม UTA (BA 40%, BTS 40% และ STECON 20%) โดยมี STECON เป็นผู้รับเหมาหลัก

.

ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ

เมื่อวันที่ 17 มิ.ย. คณะกรรมการค่าจ้างของกระทรวงแรงงานได้มีมติปรับค่าแรงขั้นต่ำรายวันในกรุงเทพฯ ขึ้น 8% จาก 372 บาท เป็น 400 บาท โดยในอดีต การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำไม่มีผลกระทบที่ชัดเจนต่อปัจจัยพื้นฐานหรือประสิทธิภาพของราคาหุ้น ผู้รับเหมาส่วนใหญ่ระบุว่าได้จ่ายค่าแรงเกินระดับขั้นต่ำแล้ว และได้นำปัจจัยที่อาจเพิ่มขึ้นมาพิจารณาในการเสนอราคา ซึ่งสอดคล้องกับการวิเคราะห์ของบล.กสิกรไทย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างการปรับค่าแรงขั้นต่ำตั้งแต่ปี 2555 กับอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ของหุ้นกลุ่มก่อสร้างที่บล.กสิกรไทยวิเคราะห์อยู่ ในทำนองเดียวกัน ข้อมูลในอดีตตั้งแต่ปี 2555–67 แสดงให้เห็นว่าราคาหุ้นในกลุ่มก่อสร้างมีแนวโน้มที่จะทรงตัวภายใน 5 วันทำการ และพลิกกลับเป็นบวกเล็กน้อยในช่วง 25 ถึง 75 วันทำการหลังจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ

.

มุมมองของบล.กสิกรไทย

บล.กสิกรไทยมีมุมมองที่เป็นบวกต่อความคืบหน้าของโครงการรถไฟสายสีแดง ในขณะที่บล.กสิกรไทยเชื่อว่าการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำครั้งนี้ อาจสร้างความรู้สึกเชิงลบเล็กน้อยในระยะสั้น ขณะที่มติ ครม. ล่าสุดนี้ช่วยเพิ่มโอกาสที่ผู้รับเหมาทั้ง CK และ STECON จะได้รับ backlog ใหม่ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากโครงการส่วนต่อขยายรถไฟสายสีแดงมีขนาดค่อนข้างเล็ก บล.กสิกรไทยเชื่อว่า NTP สำหรับโครงการรถไฟความเร็วสูง (มูลค่า 2.24 แสนลบ.) และโครงการสนามบินอู่ตะเภา (มูลค่า 2.18 แสนลบ.) จะเป็นปัจจัยกระตุ้นสำคัญสำหรับการกลับมาของกลุ่มธุรกิจนี้ พัฒนาการดังกล่าวน่าจะช่วยปรับปรุงแนวโน้มและความน่าดึงดูดของกลุ่มผู้รับเหมางานก่อสร้างได้อย่างมีนัยสำคัญ

ในส่วนของการปรับขึ้นค่าแรง ข้อมูลในอดีตแสดงให้เห็นถึงผลกระทบเพียงเล็กน้อยต่อทั้งปัจจัยพื้นฐานและประสิทธิภาพของราคาหุ้น

.

มุมมองเชิงบวก

บล.กสิกรไทยคงมุมมองที่เป็นบวกต่อกลุ่มบริการก่อสร้าง โดยเลือก CK ("ซื้อ" และราคาเป้าหมายที่ 21.5 บาท) และ SEAFCO ("ซื้อ" และราคาเป้าหมายที่ 3.43 บาท) เป็นหุ้นเด่นของบล.กสิกรไทย

บล.กสิกรไทยมีมุมมองเชิงบวกต่อความคืบหน้าของโครงการภาครัฐ โดยโครงการก่อสร้างหลายโครงการที่คาดว่าจะเปิดประมูลในช่วงไตรมาส 3–4/2568 เช่น โครงการรถไฟฟ้าสีแดง 2 สาย (มูลค่าโครงการ 1.9 หมื่นลบ.), โครงการรถไฟรางคู่ 2 เส้นทาง (1.0 แสนลบ.), และโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย–จีน เฟส 2 (3.41 แสนลบ.) นอกจากนี้ ปริมาณ backlog ที่สูงของผู้รับเหมาก่อสร้างจะสนับสนุนให้กำไรปกติเติบโตทั้ง YoY และ QoQ ในไตรมาสที่เหลือของปี 2568

Downside risk ได้แก่ ความล่าช้าในการเสนอราคาโครงการภาครัฐ การชะลอตัวของการลงทุนภาคเอกชน การขึ้นค่าแรงที่เร็วกว่าคาด และความไม่มั่นคงทางการเมือง




รู้ทันเกม รู้ก่อนใคร ติดตาม "ทันหุ้น" ได้ทุกช่องทางเหล่านี้

Facebook คลิก https://www.facebook.com/thunhoonnews
Youtube คลิก https://www.youtube.com/c/ThunhoonOfficial
Tiktok คลิก https://www.tiktok.com/@thunhoon_/
จาก
ถึง
Select...
หุ้น
Select...
หัวข้อ
Select...

ข่าวล่าสุด

อ่านต่อ

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา  อ่านเพิ่มเติม

X