#PTTGC #BEM #ทันหุ้น ► • สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นทั่วโลกกลับมาปรับตัวขึ้นนำโดยตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้ว (Developed Market) อย่างสหรัฐ, หุ้นญี่ปุ่น และยุโรป ขานรับปัจจัยบวกสงครามการที่ค้าที่ผ่อนคลายจากการที่ ทรัมป์ เลื่อนการบังคับใช้ภาษีกับสหภาพยุโรปออกไปเป็น 9 ก.ค. 2025 รวมถึงการที่ศาลการค้าระหว่างประเทศสหรัฐ มีคำตัดสินระงับ Reciprocal Tariffs เนื่องจากอยู่นอกเหนือจากอำนาจของประธานาธิบดี 

นอกจากนี้ตลาดยังได้แรงหนุนจากผลประกอบการของหุ้น Nvidia ที่มีรายได้44 พันล้านดอลลาร์ เป็นสถิติสูงสุดของบริษัทและกำไรมากกว่าตลาดคาด หนุนโดยยอดขายของ Blackwell ที่มีสัดส่วนรายได้เกือบ70% ของรายได้ส่วน Data Center ซึ่งสะท้อนถึงการเปลี่ยนผ่านจากชิปรุ่นเก่าอย่างสมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม Nvidia ยังต้องเผชิญแรงกดดันจากข้อจำกัดการส่งชิปรุ่นรอง(H20) ไปจีนซึ่งทำให้บริษัทต้องสูญเสียรายได้ในไตรมาสถัดไปจนทำให้คำแนะนำรายได้ต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้

► • ในสัปดาห์นี้เราประเมินตลาดหุ้นสหรัฐ และทั่วโลก จะเข้าสู่ภาวะของการปรับฐาน หลังจากบริษัทสำคัญอย่าง Nvidia รายงานผลประกอบการไปแล้ว ที่แม้จะมีผลประกอบการที่ดี แต่เราคาดว่าคงไม่สามารถทำให้นักวิเคราะห์ปรับเพิ่มประมาณการทั้งตลาดให้กลับขึ้นมาได้ ยิ่งไปกว่านั้นตลาดจะกลับไปให้น้ำหนักกับตัวเลขเศรษฐกิจอย่าง ผลสำรวจผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI), ตำแหน่งงานที่นายจ้างเปิดรับ(Job Openings) และการจ้างงานนอกภาคเกษตร (Nonfarm Payroll) ที่ตลาดคาดว่าจะมีพัฒนาการที่ชะลอตัวลง นอกจากนี้ตลาดอาจกลับมาผันผวนสูงตามพัฒนาการของสงครามการค้าที่ล่าสุด Scott Bessent ออกมาส่งสัญญาณว่าการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐ และจีน กำลังอยู่ในช่วงหยุดชะงัก และจำเป็นต้องให้ผู้นำสูงสุดของทั้ง 2 ประเทศหารือกันโดยตรง อีกทั้งการที่ศาลสหรัฐ เข้ามาเกี่ยวข้อง จะทำให้ขั้นตอนและความชัดเจนมีความยืดเยื้อมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อความไม่แน่นอนในตลาดการเงิน เราแนะนำว่า ในช่วงที่ตลาดหุ้นยังอยู่ในระดับสูงท่ามกลางปัจจัยลบที่อาจกลับมามีน้ำหนักอีกครั้ง แนะนำให้ทยอยลงทุน Core Portfolio ในส่วนตราสารหนี้โลกผ่านกองทุน UGISFX-N ที่ลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพดีทั่วโลก บริหารแบบเชิงรุกโดยผู้จัดการกองทุนปรับเปลี่ยนอายุตราสารตามภาวะตลาด ในยามที่ 10Y UST อยู่ใกล้เคียงระดับ 4.5% และค่าเงินบาทที่อยู่ในระดับแข็งค่าค่อนข้างมากในตอนนี้ อาจพิจารณาเป็น Unhedged Class เพื่อหลีกเลี่ยงค่าใช้จ่ายอย่าง Hedging Cost โดยแนะนำให้ลงทุนแบบไม่ป้องกันความเสี่ยงเมื่อ USD/THB ในระดับที่ต่ำกว่า 33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ สำหรับผู้ที่ต้องการบริหารความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนในระยะสั้น และแนะนำลงทุนในUGIS-Nสำหรับนักลงทุนที่ต้องการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน

►

• สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทย KS ประเมิน SET เคลื่อนไหวในแคบกรอบ 1,150 – 1,190 จุด จากการที่เป็นช่วงวันหยุดและมีวันทำการเพียง3 วัน โดยยังมองแนวโน้มหลักยังเป็น Sideways Down จากแรงกดดันปัจจัยภายนอกอย่างสงครามการค้าที่กลับมามีความไม่แน่นอนมากขึ้น หลังศาลชั้นต้นมีการระงับคำสั่ง Reciprocal Tariffs แต่ถูกศาลอุทธรณ์ระงับคำสั่งศาล และให้เก็บภาษีต่อได้ชั่วคราวระหว่างที่รอคำตัดสิน โดยในสัปดาห์นี้ให้ติดตามอัตราเงินเฟ้อที่คาดว่าจะหดตัวมากขึ้นที่ -0.8%YoY จาก -0.22% ในเดือนก่อนหน้า

►  หุ้นแนะนำในสัปดาห์นี้เป็น 

BEM ราคาพื้นฐาน 10.73 บาท

จากผลประกอบการที่แสดงความสามารถรับมือกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวได้ดีของ BEM และมูลค่าที่น่าสนใจ โดยราคาหุ้นซื้อขายที่ระดับ PBV ปี 2025 ต่ำกว่า 2SD หรือประมาณ 2.x เท่า แม้ใช้สมมติฐานอนุรักษนิยม BEM ยังมี Downside Protection จากนโยบายค่าโดยสาร 20 บาท ของรัฐที่สร้างผลตอบแทนคงที่ และอาจช่วยให้ปรับเพิ่มค่าเช่าและค่าพื้นที่โฆษณาในธุรกิจพาณิชย์ได้ การเติบโตใน 3ปีข้างหน้าจะได้รับแรงหนุนจากโครงการใหม่ทั้งส่วนต่อขยายสายสีม่วงใต้และสายสีส้มฝั่งตะวันออกที่เริ่มดำเนินการปี 2029 แม้การจ่ายปันผลยังมีข้อจำกัดในช่วงลงทุนขนาดใหญ่ แต่หลังปี 2030 เมื่อไม่ต้องจ่ายค่าสัมปทานสายสีน้ำเงิน (ประมาณ 5,000 ล้านบาทต่อปี) บริษัทจะมีศักยภาพจ่ายปันผลเพิ่มขึ้นและกำไรเติบโตในอัตราเร่ง และ

PTTGC ราคาพื้นฐาน 20.00 บาท 

จากผลประกอบการที่แสดงศักยภาพ Global-Play และมีปัจจัยหนุนทั้งระยะสั้นและกลางถึงยาว โดยระยะสั้นคาดว่า GRM จะฟื้นตัวจาก USD 3.4/bbl ใน 1Q/25 เป็น USD 5.0/bbl ใน 2Q/25 จากอุปสงค์ตามฤดูกาลและต้นทุนโอเลฟินที่ลดลง ขณะที่บริษัทได้ประโยชน์จากการเพิ่มสัดส่วนเอเทนจาก 33% เป็น 38% ช่วยลดต้นทุนผลิต และส่วนต่างโพลิเมอร์ปรับตัวดีขึ้นตามราคานาฟทาที่ลดลง สำหรับระยะกลางถึงยาว กลยุทธ์ Performance Enhancement จะช่วยประหยัดต้นทุนรวม 5.5 พันล้านบาท และกลยุทธ์ Asset-Light มีแผนปลดล็อกสินทรัพย์นอกแกนหลักมูลค่า 3 หมื่นล้านบาท เพื่อลดหนี้และตั้งเป้าอัตราหนี้สินต่อ EBITDA ต่ำกว่า 4 เท่า ทั้งนี้สำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนหุ้นไทย พร้อมลดหย่อนภาษีด้วยกองทุน Thai ESGX ยังสามารถลงทุนได้จนถึงวันที่ 30 มิ.ย. นี้ โดยหากเป็นเงินลงทุนก้อนใหม่ เราแนะนำ K-HDThaiESGX-68 ที่มีนโยบายลงทุนหุ้นยั่งยืนที่มีการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ และ K-70ThaiESGX-68 ที่มีนโยบายคล้ายกับกองแรกแต่มีการผสมตราสารหนี้เข้าไป30% โดยทั้ง 2 กองทุนมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่เกินปีละ 2 ครั้ง และสำหรับผู้ลงทุนที่จะโอนย้ายเงินลงทุนจาก LTF มา Thai ESGX เราแนะนำกองทุน K-HDThaiESGX-L และ K-70ThaiESGX-L โดยมีนโยบายการลงทุนไม่ต่างจากที่กล่าวมาข้างต้น

►KS Research

บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย

รู้ทันเกม รู้ก่อนใคร ติดตาม "ทันหุ้น" ได้ทุกช่องทางเหล่านี้

FACEBOOK :

ท้นหุ้น คลิก https://www.facebook.com/Thunhoonofficial/

ทันหุ้นออนไลน์ คลิก https://www.facebook.com/thunhoonnews

YOUTUBE : Thunhoon คลิก https://www.youtube.com/c/ThunhoonOfficial

Tiktok : Thunhoon คลิก https://www.tiktok.com/@thunhoon_/