> KS Whole in one > PR9

26 พฤษภาคม 2025 เวลา 06:40 น.

KASIKORN SECURITIES : Weekly Outlook 23 พฤษภาคม 2568

#OSP #PR9 #ทันหุ้น • สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นทั่วโลกเริ่มเข้าสู่การพักฐาน นำโดยตลาดหุ้นสหรัฐ (S&P 500), ญี่ปุ่น (Topix), อินเดีย (Nifty 50) และไทย (SET) หลังจากปรับตัวขึ้นมาต่อเนื่อง แต่ตลาดเริ่มขาดปัจจัยบวกใหม่ที่ชัดเจนและมีน้ำหนักมากพอ ในขณะที่ปัจจัยลบใหม่ที่เข้ามา คือ การปรับตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ระยะยาว โดยที่ตัว 10 ปี ขึ้นไปแตะ 4.6% ขณะที่ 30 ปี ขึ้นไปแตะ 5.15% จากการที่รัฐบาลผ่านร่างกฎหมายลดภาษีของทรัมป์ “One Big Beautiful Bill Act” ด้วยคะแนนเสียง 215 ต่อ 214 เสียง ซึ่งเป็นร่างกฎหมายที่รวมมาตรการลดภาษีและการใช้จ่ายของรัฐบาลทรัมป์ โดยคาดว่าจะเพิ่มหนี้สาธารณะของสหรัฐ กว่า 3.8 ล้านล้านดอลลาร์ในทศวรรษหน้า ส่งผลให้การขาดดุลต่อ GDP ของรัฐบาลสหรัฐ อาจจะแตะระดับ 7 – 8% ได้ในช่วงต่อจากนี้ 


แม้ว่านโยบายดังกล่าวจะเป็นงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ในระยะสั้นการก่อหนี้ของรัฐบาลสหรัฐ นั้นจะเป็นปัจจัยกดดันสำคัญของตลาดในสัปดาห์นี้ ในขณะที่ตลาดหุ้นจีนทั้ง CSI 300 (A-Shares) และ HSCEI (H-Shares) ยังคงปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง โดย HSCEI ขึ้นมาแล้ว6 สัปดาห์ติดต่อกัน ถึงแม้ตัวเลขเศรษฐกิจจะฟื้นตัวไม่ทั่วถึง การผลิตชะลอตัวแต่ยังดีกว่าคาด ในขณะที่การบริโภค และการลงทุน ออกมาต่ำกว่าคาด ส่วนราคาบ้านยังมีทิศทางที่มีเสถียรภาพมากขึ้น อย่างไรก็ตาม แรงหนุนมาจากการรปรับลดอัตราดอกเบี้ยLoan Prime Rate 1 ปี และ 5 ปี ลง 10 bps สู่ระดับ3% และ 3.5% ตามลำดับ ซึ่งเป็นการลดดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 7 เดือน อีกทั้งตลาดหุ้นจีนได้แรงหนุนจากการส่งสัญญาณมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาคอสังหาริมทรัพย์มูลค่าราว 350 พันล้านหยวน รวมถึงการเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกงของบริษัท CATL ผู้ผลิตแบตเตอรี่รายใหญ่ซึ่งกลายเป็น IPO ที่ใหญ่ที่สุดในปีนี้เป็นปัจจัยสนับสนุนในช่วงนี้


• ในสัปดาห์นี้เราประเมินตลาดหุ้นสหรัฐ จะยังอยู่ในภาวะปรับฐานต่อเนื่อง จากการผ่านพ้นช่วงรายงานผลประกอบการที่แม้จะออกมาดีกว่าคาดมาก แต่นักวิเคราะห์ยังไม่กล้าปรับประมาณการกำไรของช่วงที่เหลือของปีขึ้น จากความไม่แน่นอนของนโยบายภาษีนำเข้าที่ยังคงมีอยู่ อีกทั้งเราเริ่มเห็นตลาดรับปัจจัยลบใหม่เข้ามาอย่างการปรับตัวขึ้น Bond Yield สหรัฐ 10 ปี ซึ่งอาจทำให้ตลาดเข้าสู่ภาวะ Risk Off ได้อีกครั้ง แต่อย่างไรก็ตามบรรยากาศของตลาดอาจเปลี่ยนแปลงได้ หากผลประกอบการของ Nvidia ออกมาดีกว่าคาดอย่างมีนัยสำคัญ โดยเราแนะนำให้ติดตามยอดขายชิป Blackwell ที่ควรต้องมีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หลังผู้บริหารออกมาให้ความเห็นว่าชิปรุ่น Blackwell ได้เข้าสู่การผลิตแบบเต็มจำนวน(Mass Production) แล้ว 


รวมถึงให้ติดตามการฟื้นตัวของอัตรากำไรขั้นต้นว่าจะฟื้นตัวขึ้นจาก 70% ต้น กลับมาที่ 70% กลางเมื่อไหร่ หลังจากลดลงในช่วงเปลี่ยนผ่านการผลิตชิปรุ่นใหม่ และสุดท้ายให้ติดตามแผนการรับมือรายได้ที่อาจหายไปจากการโดนจำกัดการส่งออกชิปรุ่นรอง “H20” ไปจีน นอกจากนี้เราแนะนำให้ติดตามการรายงานตัวเลข GDP 1Q/25 ที่จะรายงานเป็นครั้งที่ 2 หลังจากรอบแรกออกมาติดลบ 0.3% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลมาจากการเร่งนำเข้าที่สูงมากจนทำให้ส่งออกสุทธิติดลบ โดยให้ติดตามตัวเลขการบริโภคเป็นสำคัญว่าจะมีการปรับขึ้นหรือลงหรือไม่จากการรายงานในครั้งแรก 


นอกจากนี้เราแนะนำให้ติดตามถ้อยแถลงของ “เจอโรม พาวเวลล์” รวมถึงรายงานการประชุมเฟด และตัวเลขความเชื่อมั่นผู้บริโภคจาก Conference Board ในช่วงระหว่างรอตลาดหุ้นโลกปรับฐานอีกครั้ง เราแนะนำให้ทยอยลงทุน Core Portfolio ที่เป็นตราสารหนี้โลกผ่านกองทุน UGISFX-N ที่ลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพดีทั่วโลก บริหารแบบเชิงรุกโดยผู้จัดการกองทุนปรับเปลี่ยนอายุตราสารตามภาวะตลาด ในยามที่ 10Y UST อยู่เหนือระดับ 4.5% และค่าเงินบาทที่อยู่ในระดับแข็งค่าค่อนข้างมากในตอนนี้ อาจพิจารณาเป็น Unhedged Class เพื่อหลีกเลี่ยงค่าใช้จ่ายอย่าง Hedging Cost

• สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทย KS ประเมิน SET เคลื่อนไหวในกรอบ 1,150 – 1,180 จุด แนวโน้มหลักยังเป็น Sideways Down หลังจากตลาดขาดปัจจัยบวกใหม่ ในขณะที่ GDP 1Q25 แม้จะเติบโต3.1% YoY และ 0.7% QoQ แต่ในรายละเอียดมาจากการเร่งส่งออกก่อนนโยบายภาษีนำเข้าจะมีผลบังคับใช้ ในขณะที่การบริโภค การท่องเที่ยวชะลอตัวลง การลงทุนจากภาคเอกชนหดตัวลง เราจึงประเมินว่า GDP 1Q/25 มีโอกาสเป็นจุดสูงสุด ก่อนที่เศรษฐกิจจะค่อยๆ อ่อนตัวลงในช่วงที่เหลือของปี จากการส่งออกที่จะชะลอตัวลงหลังคำสั่งซื้อล่วงหน้ากลับสู่สภาวะปกติ โดยสภาพัฒน์ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของ GDP ปี2025 ลงจาก 2.3 – 3.3% (ค่ากลาง 2.8%) เป็น 1.3 – 2.3% (ค่ากลาง 1.8%) โดยคาดว่าจะเริ่มเห็นผลกระทบจากภาษีนำเข้าตั้งแต่ 2Q/25 เป็นต้นไป 


หุ้นแนะนำในสัปดาห์นี้เป็น 

OSP ราคาพื้นฐาน20.60 จากผลประกอบการ 1Q/25 ที่แสดงให้เห็นว่าการแข่งขันกระทบต่อ GPM น้อยกว่าที่คาด โดย GPM อยู่ที่ระดับ 40.3% จากต้นทุน Packaging ที่ลดลงทั้งเศษแก้วและราคาก๊าซ ประกอบกับราคาน้ำตาลที่ปรับตัวลดลง ขณะที่รายได้ International Business เติบโตแข็งแกร่งและคาดว่าปีนี้จะเติบโตมากกว่า 40% ซึ่งมี GPM สูงกว่า Domestic นอกจากนี้ ในเดือนเมษายนบริษัทได้ส่วนแบ่งการตลาดกลับมาเพิ่มขึ้นประมาณ 50-60 bps ซึ่งจะหนุนผลประกอบการปี 2025 และ


 PR9 ราคาพื้นฐาน 27.90 บาท เรามีมุมมองเชิงบวกจากผลประกอบการ 1Q/25 ที่แข็งแกร่ง โดยมีกำไรปกติ 200 ล้านบาท สูงกว่าเราคาด 5% รายได้เติบโต 16% YoY จากคนไข้ต่างชาติที่เพิ่มขึ้น 88% YoY โดยเฉพาะคนไข้อาหรับที่เพิ่มขึ้น 2 เท่าจาก 4Q/24 ขณะที่คนไข้ไทยเติบโต 3% อัตรากำไรขั้นต้นทำสถิติสูงสุดที่ 36.7% จากความซับซ้อนของโรคที่เพิ่มขึ้นและการประหยัดต่อขนาด สัดส่วนรายได้ IPD สูงขึ้นเป็น 46% และบริษัทมีฐานะการเงินแข็งแกร่งด้วยสัดส่วนเงินสด 43% ของสินทรัพย์รวม หรือประมาณ 2.8 พันล้านบาท 


ทั้งนี้สำหรับผู้ที่ต้องการลดหย่อนภาษีด้วยกองทุน Thai ESGX ยังสามารถลงทุนได้จนถึงวันที่ 30 มิ.ย. นี้ โดยหากเป็นเงินลงทุนก้อนใหม่ เราแนะนำ K-HDThaiESGX-68 ที่มีนโยบายลงทุนหุ้นยั่งยืนที่มีการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ และ K-70ThaiESGX-68 ที่มีนโยบายคล้ายกับกองแรกแต่มีการผสมตราสารหนี้เข้าไป30% โดยทั้งสองกองทุนมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่เกินปีละ 2 ครั้ง และสำหรับผู้ลงทุนที่จะโอนย้ายเงินลงทุนจาก LTF มา Thai ESGX เราแนะนำกองทุน K-HDThaiESGX-L และ K-70ThaiESGX-L โดยมีนโยบายการลงทุนไม่ต่างจากที่กล่าวมาข้างต้น


KS Research

บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย

รู้ทันเกม รู้ก่อนใคร ติดตาม "ทันหุ้น" ได้ทุกช่องทางเหล่านี้

FACEBOOK : ทันหุ้นออนไลน์ คลิก https://www.facebook.com/thunhoonnews

YOUTUBE : Thunhoon คลิก https://www.youtube.com/c/ThunhoonOfficial

Tiktok : Thunhoon คลิก https://www.tiktok.com/@thunhoon_/

จาก
ถึง
Select...
หุ้น
Select...
หัวข้อ
Select...

ข่าวล่าสุด

อ่านต่อ

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา  อ่านเพิ่มเติม

X