#ทันหุ้น-ตลาดหุ้นไทยเมื่อวานปรับตัวลดลงไปทดสอบแนวรับที่ 1,190 ก่อนที่จะฟื้นตัวกลับขึ้นไปเคลื่อนไหวที่บริเวณ 1,200 ทำให้แนวโน้มในระยะสั้นยังมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องไปทดสอบมีแนวต้านถัดไปที่ 1,230 แต่ถ้าปรับตัวลดลงไปเคลื่อนไหวต่ำกว่า 1,190 จะมีแนวรับถัดไปที่ 1,160
สำหรับหุ้นที่น่าสนใจวันนี้ คือ SCC หรือ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) ดำเนินธุรกิจการลงทุน (Holding Company) ในกลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ 1. เอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์2. เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง 3. เอสซีจี ดิสทริบิวชั่นแอนด์รีเทล 4. เอสซีจี เดคคอร์ 5. เอสซีจี เคมิคอลส์ (เอสซีจีซี) 6. เอสซีจีพี
BH รายงานผลการดำเนินงาน ไตรมาสที่ 1 ปี 68 มีกำไรสุทธิ 1,098 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.92 บาท ลดลงเมื่อเทียบงวดเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 2,424 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อเนื่อง 2.02 บาท
นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปูนซีเมนต์ไทย [SCC] ชี้แจงว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/68 มีกำไรอยู่ที่ 1,099 ล้านบาท ลดลงจากที่มีกำไร 2,424.85 ล้านบาทในไตรมาส 1/67 แต่หากไม่รวมผลการดำเนินงานของลองเซินปิโตรเคมิคอลส์คอมเพล็กซ์ (LSP) ที่ประเทศเวียดนาม (LSP) ผลการดำเนินงานของ SCC จะมีกำไรอยู่ที่ 4,019 ล้านบาท
แต่ผลดำเนินงานถือว่าดีขึ้นเมื่อเทียบกับขาดทุน 512 ล้านบาทในไตรมาส 4/68 เป็นผลจากการบริหารจัดการภายในและการปรับปรุงประสิทธิภาพของทุกธุรกิจ รวมถึงจากความต้องการตามฤดูกาลปรับเพิ่มขึ้นจากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับซีเมนต์และการก่อสร้าง ประกอบกับผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นจาก บมจ.เอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC) และ บมจ.เอสซีจี แพคเกจจิ้ง [SCGP]
ทั้งนี้ ไตรมาส 1/68 กลุ่ม SCC มีรายได้จากการขายอยู่ที่ 124,392 ล้านบาท ลดลง 5% จากไตรมาสก่อน สาเหตุหลักจากปริมาณขายที่ลดลงของ SCGC โดยเฉพาะของโรงงาน LSP ที่เวียดนาม
แนวโน้มไตรมาส 2/68 คาดว่าผลการดำเนินงานจะเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาส 1/68 ได้แรงหนุนจากต้นทุนวัตถุดิบปรับตัวลดลงสอดคล้องราคาน้ำมัน ส่วนต่างปิโตรเคมีดีขึ้น รวมทั้งผู้ผลิตปิโตรเคมีจีนได้รับผลกระทบจากการจัดหาวัตถุดิบจากสหรัฐ โดยบริษัทยังคงเป้าหมายรายได้เติบโต 3-5% จากปีก่อน และยังไม่ปรับลงโดยช่วงครึ่งปีหลังยังมีสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนจากสงครามการค้า ซึ่งต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
สำหรับโครงการ LSP ปัจจุบันยังเป็นไปตามแผนทั้งระยะเวลาในการดำเนินงานและค่าใช้จ่ายในการลงทุน โดยบริษัทวางแผนการลงทุนดังกล่าวแบบไม่มีพาร์ตเนอร์ อย่างไรก็ตามหากมีพาร์ตเนอร์ที่สนใจเข้าลงทุน และสามารถสร้างความแข็งแกร่งให้มากขึ้นได้ก็พร้อมเปิดรับ แต่ปัจจุบันยังไม่มีการพูดคุยหรือมีพาร์ตเนอร์ที่สนใจถึงขั้นทำงานร่วมกัน
บริษัทได้ประเมินสถานการณ์และผลกระทบจากสงครามการค้าโลก พบว่า ผลกระทบทางตรงต่อ SCC มีเล็กน้อย เนื่องจากในปี 67 มีการส่งออกโดยตรงไปที่สหรัฐเพียง 1% จากยอดขายรวม ขณะที่ผลกระทบทางอ้อมมีมหาศาล และยิ่งหากพ้นระยะเวลาเลื่อนจัดเก็บภาษี 90 วัน ผลกระทบอาจรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยจะเห็นชัดในไตรมาส 3/68 หากอัตราเรียกเก็บภาษีของสหรัฐกับประเทศในอาเซียนกลับไปที่ระดับเดียวกันการประกาศวันที่ 2 เม.ย. จะส่งผลให้เศรษฐกิจโลกรวมทั้งเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคชะลอตัว แน่นอนว่ากระทบไทยด้วย จากสินค้าที่ทะลักเข้ามาจากจีน ทำให้การผลิตในประเทศมีแนวโน้มลดลงอีก
ในทางกลับกัน สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ยังมีประเทศที่ได้ประโยชน์ เช่น ออสเตรเลีย ซึ่งได้รับอานิสงส์จากการที่สหรัฐระงับการส่งออกแร่หายากจากจีน ทำให้ต้องนำเข้าจากออสเตรเลีย และบราซิล ซึ่งคาดว่าจะมีการนำเข้าข้าวโพดสินค้าเกษตรจากบราซิลมากขึ้น นอกจากนี้ อินเดีย ญี่ปุ่น แคนาดา ก็คาดว่าจะได้ประโยชน์เช่นกัน ทำให้บางตลาดมีกำลังซื้อมากขึ้น ซึ่งบริษัทมีหน่วยงานขายรอบโลก ทำให้สามารถปรับตัวกระจายสินค้าไปยังประเทศอื่นที่มีกำลังซื้อได้ โดยต้องปรับตัวให้เข้ากับมาตรฐานของประเทศนั้น ๆ ด้วย
อีกทั้งประเด็นสงครามการค้ายังมีโอกาสสำหรับบริษัท คือแนวโน้มราคาพลังงานที่ลดลง เนื่องจากเศรษฐกิจชะลอตัวความต้องการใช้ลดลง รวมทั้งสินค้าที่มูลค่าเพิ่มสูง หรือสินค้าที่มีความพิเศษยังเป็นที่ต้องการ อาทิ ปูนคาร์บอนต่ำ ที่ยังสามารถส่งออกไปยังสหรัฐได้ ในหลายประเทศเริ่มมีความต้องการสินค้าที่มีความเป็นกรีนมากขึ้น เรื่องแพ็กเกจจิ้งที่เป็น Low Carbon
ส่วนปัจจัยในประเทศ ภาพรวมเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้าตั้งแต่หลังโควิด-19 แต่ได้แรงหนุนจากการท่องเที่ยวมาตลอด ซึ่งปัจจุบันท่องเที่ยวชะลอตัวลง ส่วนหนึ่งจากข่าวจีนเทาที่สร้างความไม่เชื่อมั่น รวมทั้งเหตุการณ์แผ่นดินไหว ทำให้เครื่องจักรขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยอ่อนตัวลง ล่าสุด มูดีส์ส่งสัญญาณแนวโน้มเศรษฐกิจไทยไม่ดี สะท้อนว่าเศรษฐกิจไทยเปราะบางมุ่งสู่จุดที่อ่อนแอลงต่อเนื่อง ดังนั้น การปรับตัวเพื่อแก้ปัญหาสงครามการค้าเป็นเรื่องสำคัญ แนะภาครัฐร่วมมือกับเอกชนในการประสานงานร่วมกัน สร้างความร่วมมือเพื่อหาทางออกด้านนโยบายภาษีของสหรัฐ ซึ่งต้องเร่งคุยปรับตัวให้เร็ว รีบแก้ไข จุดไหนที่รัฐบาลควรเข้าไปเยียวยา เพราะแน่นอนต้องมีผู้ได้รับผลกระทบระยะสั้น
ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นเกิดสัญญาณฟื้นตัวทางเทคนิคต่อเนื่องไปทดสอบแนวต้านที่ 170 หลังจากเคลื่อนไหวออกด้านข้างที่บริเวณ 150 ทำให้แนวโน้มในระยะสั้นยังมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่ 178-180 และมีแนวต้านสำคัญที่ 184 โดยมีแนวรับที่ 160 และ 155
เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา อ่านเพิ่มเติม