28 เมษายน 2025 เวลา 05:40 น.
พัฒนาการที่สำคัญกว่านั้น คือ การที่สหรัฐ ส่งสัญญาณผ่อนคลายการค้ากับจีน โดยอาจลดภาษีนำเข้าจากระดับ 145% สู่ 50 – 65% แม้จีนจะมีการตั้งข้อแม้ให้สหรัฐ ต้องลดภาษีทั้งหมดก่อนจึงจะเริ่มเจรจา แต่โดยรวมตลาดตอบรับในเชิงบวกเพราะน่าจะผ่านกรณีเลวร้ายที่สุดไปแล้ว ด้านผลประกอบการหุ้นสำคัญอย่าง Tesla แม้จะรายงานออกมาไม่ดีแต่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นจากการที่ Elon Musk จะลดเวลาการทำงานกับรัฐบาลมาทุ่มเวลาให้กับ Tesla มากขึ้น, Alphabet (Google)รายงานผลประกอบการดีกว่าคาดมาก หนุนโดยการเติบโตของ Cloud ที่สามารถทำกำไรได้ดีขึ้น อีกทั้งบริษัทยังยืนยันยอดเงินลงทุน (CAPEX) ที่ 75 พันล้านดอลลาร์ในปีนี้อีกด้วย ซึ่งช่วยลดความกังวลของตลาดที่คาดว่าบริษัทเทคใหญ่อาจลดวงเงินลงทุนลง และสุดท้าย SAP บริษัทที่มีมูลค่าตลาดใหญ่ที่สุดในยุโรปจากประเทศเยอรมนี รายงานผลประกอบการที่ดีกว่าคาดโดยเฉพาะในธุรกิจ Cloudที่ขยายตัวต่อเนื่อง
• ในสัปดาห์นี้ ประเด็นที่ต้องติดตามยังเป็นเรื่องของภาษีนำเข้าที่กำลังจะมีผลเพิ่มเติมในช่วงต้นเดือน พ.ค. ได้แก่
1. ภาษีสำหรับพัสดุมูลค่าต่ำกว่า 800 ดอลลาร์จากจีนและฮ่องกงเข้าสหรัฐ ซึ่งส่งผลกระทบต่ออีคอมเมิร์ซจีน อย่าง Shein, Temu และ AliExpress
2. ภาษีชิ้นส่วนยานยนต์ ที่มีการส่งสัญญาณการผ่อนคลายในช่วงก่อนหน้านี้ แต่ยังไม่มีรายละเอียดแต่อย่างใด เราจึงมองว่าตลาดหุ้นสหรัฐ รวมถึงหุ้นทั่วโลก จะเคลื่อนไหวตามพัฒนาการของภาษีการค้าเป็นสำคัญ โดยในสัปดาห์นี้จะมีการเจรจาการค้ารอบใหม่ของญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ซึ่งรายหลังอาจได้ข้อตกลงเบื้องต้นภายในสัปดาห์นี้ ในขณะที่ความผันผวนหลักจะอยู่ที่ข่าวการเจรจาการค้ากับจีน นอกจากนี้ยังมีตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญที่ตลาดจับตา ได้แก่ ตัวเลขตลาดแรงงานสหรัฐและ GDP ไตรมาสที่ 1 ปี 2025 ที่ตลาดคาดว่าจะชะลอตัวลง, การประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ)ที่ตลาดคาดว่าจะคงดอกเบี้ยหลังจากเผชิญความเสี่ยงของภาษีนำเข้า ในขณะเดียวกันยังมีผลประกอบการของหุ้นสำคัญที่อาจกำหนดทิศทางของตลาด ได้แก่ Microsoft, Apple, Amazon, Meta Platforms, Visa, Mastercard และ Eli Lilly
• แม้ตลาดจะฟื้นตัวขึ้นมา แต่รายังคงมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นโลกสำหรับการลงทุนระยะยาว โดยแนะนำให้ทยอยลงทุนเมื่อตลาดมีการปรับฐานลงมา สำหรับกองทุนรวมที่ถือครองเป็นพอร์ตโฟลิโอหลัก (Core Portfolio) ในระยะยาว เราแนะนำกองทุน K-GSELECT และ/หรือ K-GSELECTRMF ที่ลงทุนผ่านกองทุนหลัก JPMorgan Global Select ที่ลงทุนในหุ้นทั่วโลก และมีการปรับพอร์ตระหว่างหุ้นเติบโตสูง (Growth stock) และหุ้นคุณค่า (Value stock) ตามสถานการณ์ ซึ่งค่อนข้างเหมาะกับสภาวะตลาดในปีนี้ และต่อจากนี้ โดยที่กองทุนหลักสามารถทำผลตอบแทนชนะดัชนีหุ้นโลก (MSCI World) ได้อย่างสม่ำเสมอ โดยสามารถเอาชนะดัชนีชี้วัดได้ 13 จาก 21 ปี (2004 – 2024) จึงเหมาะสมโดยเฉพาะการลงทุนระยะยาว และลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษี สำหรับนักลงทุนที่มี Core Porfolio ที่แข็งแรงระดับหนึ่งแล้ว เราแนะนำการลงทุนในส่วน Satellite Portfolio ระยะเวลา 6 – 12 เดือน ผ่านกองทุน TUSFIN-A ซึ่งลงทุนในหุ้นกลุ่มการเงินของสหรัฐหลังผลประกอบการธนาคารใหญ่ยังค่อนข้างดี โดยหุ้นในกลุ่มการเงินมีการเคลื่อนไหวที่แข็งแกร่งกว่าตลาดโดยรวมในช่วงต้นปีที่ผ่านมา และเรามองกลุ่มนี้มีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้มากกว่าตลาดหุ้นสหรัฐ โดยรวม ปัจจัยหนุนมาจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งของธนาคาร รวมถึงมาตรการลดภาษีนิติบุคคล และนโยบายการลดกฎเกณฑ์ทางธุรกิจ (Deregulation) ที่รออยู่ในช่วงครึ่งหลังของปี และสำหรับ Satellite Portfolio ระยะเวลา 3 – 6 เดือน ซึ่งเน้นลงทุนไปตามจังหวะตลาด เรายังคงชอบหุ้นอินเดียที่ดัชนี Nifty 50 กลับขึ้นมาอยู่ในจุดที่สูงกว่าก่อน Reciprocal tariffs สะท้อนถึง Sentiment ที่ผ่อนคลายลงของนักลงทุน รวมถึงผลประกอบการหุ้นในกลุ่มธนาคารที่ออกมาดีกว่าคาด เราจึงแนะนำลงทุนผ่านกองทุน KT-INDIA-A เมื่อดัชนี Nifty 50 ยังอยู่ในกรอบ 23,000 – 24,000 จุด และกำหนดจุดตัดขาดทุนเมื่อดัชนีหลุด 22,000 จุด
• สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทย KS ประเมิน SET เคลื่อนไหวในกรอบ 1,140 – 1,190 จุด โดยน่าจะมีการปรับตัวขึ้นได้หลังจากสงครามการค้ามีความผ่อนคลายลงโดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่จีนกำลังพิจารณายกเว้นภาษีนำเข้ากับสหรัฐ บางรายการในกลุ่มอุปกรณ์การแพทย์และเคมีภัณฑ์อุตสาหกรรม แต่ยังไม่มีการเจรจาที่เป็นรูปธรรมมากนัก จึงต้องติดตามพัฒนาการทางการค้าต่อไป สำหรับปัจจัยภายในประเทศให้ติดตามการประชุมธนาคารกลางแห่งประเทศไทย ที่ตลาดคาดว่าจะยังคงดอกเบี้ยไว้ที่ 2.00% ในขณะเดียวกันยังมีผลประกอบการของหุ้น SCC, ITC, HMPRO และ GLOBAL อีกด้วย หุ้นแนะนำในสัปดาห์นี้เป็น
ราคาพื้นฐาน 61.00 บาท คาดกำไรไตรมาสที่ 1 ปี 2568 เติบโตแข็งแกร่งจากโรงไฟฟ้า IPP (2.07 GW) และโซลาร์ (500-600 MW) ที่เดินเครื่องเต็มปี พร้อม COD โรงใหม่ในปี 2568 ได้แก่ HKP ยูนิต 2 และโซลาร์ 700 MW หนุนรายได้และกำไรโต 27% และ 14% การควบรวม INTUCH ลดหนี้สินต่อทุนเหลือต่ำกว่า 1 เท่า และ TRIS ปรับเพิ่มเครดิตเป็น "AA-" ช่วยลดต้นทุนการกู้เงินในอนาคต และ
ราคาพื้นฐาน 28.80 บาท คาดหุ้นจะฟื้นตัวหลังคลี่คลายความกังวลโครงการ CFP ภายในต้นไตรมาสที่ 3 ปี 2568 โดยปัจจุบันซื้อขายที่ P/BV 0.38 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม (0.50 เท่า) ผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ปี 2568 จะดีขึ้นจากการกลับมาของ SBM 2ช่วยประหยัดต้นทุน 0.5 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล (1,500 ล้านบาท) และค่าการกลั่นมีแนวโน้มฟื้นตัวช่วงปลายไตรมาสที่ 2 ปี 2568 จาก Driving season ในสหรัฐ
สำหรับผู้ที่ต้องการลดหย่อนภาษีด้วยกองทุน Thai ESG เราแนะนำ K-ESGSI-ThaiESG ที่มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ไทย, K-TNZ-ThaiESG ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นไทย และ K-BL30-ThaiESG ที่มีนโยบายลงทุนแบบผสมในหุ้นไทยไม่เกิน 30%และเตรียมพบกับกองทุนลดหย่อนภาษี Thai ESGX ในช่วงต้นเดือน พ.ค. นี้
KS Research
บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย
รู้ทันเกม รู้ก่อนใคร ติดตาม "ทันหุ้น" ได้ทุกช่องทางเหล่านี้
FACEBOOK : ทันหุ้นออนไลน์ คลิก https://www.facebook.com/thunhoonnews
YOUTUBE : Thunhoon คลิก https://www.youtube.com/c/ThunhoonOfficial
Tiktok : Thunhoon คลิก https://www.tiktok.com/@thunhoon_/
TELEGRAM : Thunhoon คลิก https://t.me/thunhoon_news
X : Thunhoon คลิก https://twitter.com/thunhoon1
Instagram : Thunhoon คลิก https://instagram.com/thunhoon.news?/
เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา อ่านเพิ่มเติม