#CBG #ทันหุ้น - การซื้อขายหุ้นของ บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CBG วันที่ 14 มี.ค.68 ราคาเคลื่อนไหวในช่วง 61.25-62.75 บาท ก่อนปิดครึ่งวันเช้าที่ 62.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท (+ 0.81%) มูลค่าการซื้อขาย 256 ล้านบาท
CBG จัดประชุมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์วันที่ 13 มี.ค.68 นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าผลการดำเนินงานในปี 2568 จะเติบโตเพิ่มขึ้นจากปี 2567 โบรกเกอร์ให้คำแนะนำ “ถือ” และ “ซื้อ”
.
บล.กรุงศรี : โอกาสซื้อสะสม
CBG จัดประชุมนักวิเคราะห์เพื่ออัปเดตส่วนแบ่งการตลาดล่าสุดในเดือนมกราคม ซึ่งลดลง 0.6ppt mom (เหลือ 25.4%) เนื่องมาจากการส่งเสริมการขายในกลุ่ม Modern-Trade ที่ลดลง เพราะ CBG มองว่าการใช้จ่ายเพื่อส่งเสริมการขายในช่วงโลว์ซีซันหลังปีใหม่อาจไม่ทำกำไรมากนัก
นอกจากนี้ CBG ยังมั่นใจยอดขายในไตรมาส 1/67 โดยคาดการณ์ว่ายอดขายเครื่องดื่มชูกำลังในประเทศอาจสูงขึ้นถึง 40% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นประมาณ 2ppt เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (ที่ 26%) ในไตรมาส 1/68 (และเนื่องจากฐานที่ต่ำในไตรมาส 1/67 จากการที่ CBG พยายามขายเบียร์มากกว่าขายเครื่องดื่มชูกำลัง)
บล.กรุงศรีคงคำแนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 97 บาท และประมาณการทั้งหมด
.
บล.อินโนเวสท์เอกซ์คงคำแนะนำเชิงกลยุทธ์สำหรับ CBG ไว้ที่ Outperform แม้เราคาดว่าการแข่งขันในตลาดเครื่องดื่มชูกำลังภายในประเทศจะรุนแรงมากขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2/68 เป็นต้นไป แต่เราเชื่อว่า CBG จะสามารถเพิ่มส่วนแบ่งตลาดในปี 2568 ได้ผ่านทางปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นโดยได้แรงหนุนจากความแข็งแกร่งของผลิตภัณฑ์ และการกระจายสินค้าที่ดี ต้นทุนวัตถุดิบเฉลี่ยที่มีแนวโน้ลดลงและการใช้บรรจุภัณฑ์ที่บางลงจะช่วยหนุนให้อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น
ดังนั้น เราคาดว่าจะกำไรสุทธิปี 2568 จะเติบโต 14.8% ราคาหุ้น CBG ที่ลดลงเดือนมี.ค. สะท้อนความกังวลเกี่ยวกับการแข่งขัน ขณะที่เราคาดการณ์ถึงกำไรที่แข็งแกร่งในครึ่งปีแรก 2568 เรามองว่าราคาหุ้นที่ลดลงเปิดโอกาสให้เข้าสะสมหุ้น CBG โดยให้เป้าหมายปี 2568 ที่ 99 บาท อ้างอิง -0.5SD PE ที่ 30 เท่า
.
บล.บัวหลวง : ราคาปรับตัวลงมามากไป
หลังจากที่เราเคยปรับลดคำแนะนำ CBG และ OSP ไปวันที่ 30 ม.ค. ราคาหุ้นได้ปรับตัวลงมามากแล้ว และต่ำกว่าสมมติฐานกรณีที่แย่สุด (Worst-case scenario) ที่เราทำทั้งสองตัว โดยเราได้อัพเกรด OSP จาก “ขาย” มาเป็น “ถือ” แล้ว วันนี้เรามองราคา CBG ที่ลงมา 17% ต่ำกว่า Worst-case ของเราที่ 65 บาท เป็นจุดที่น่า “ซื้อสะสม” จาก catalysts ในไตรมาส 1/68 และไปต่อที่ไตรมาส 2/68
โดยส่วนแบ่งตลาดลดลงเหลือ 25.4% ใน ม.ค. เป็นไปตามฤดูกาล เนื่องจากใน 1 ไตรมาส จะมีโปรฯ 2 ขวด 18 บาท เพียง 1 เดือน ซึ่งคือ มี.ค. ซึ่งผู้บริหารเห็นแนวโน้มยอดขายดีขึ้น ทั้งหมดนี้ ยังอยู่ในกรอบสมมติฐานของเราที่คาดว่าส่วนแบ่งตลาดจะลดลง 1% ในปี 2568 จากการแข่งขัน (ไม่ได้เปลี่ยนไปจากประมาณการเดิม)
แต่ในด้านบวกกลับพบว่าแม้ส่วนแบ่งตลาดจะลดลง แต่แนวโน้มกำไรไตรมาส 1/68 ยังเติบโตแข็งแกร่ง โดย GM ขยายตัวมากกว่า 200bps YoY และ QoQ จากต้นทุนราคาน้ำตาลและเศษแก้วที่ลดลง และรายได้จาก OEM ขวดสุราฯ คาดว่าโต 60% YoY และ 22% QoQ หนุนกำไรไตรมาส 1/68 เติบโต 30%YoY และ 4% QoQ
.
ในด้าน Valuation ก็น่าสนใจ CBG ซื้อขายบน PER เพียง 19x (-1.2SD) ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีที่ 27x ขณะที่ เราคาดการณ์ การแข่งขันจาก OSP จะต้องรอเห็นความชัดเจนหลัง เม.ย. เนื่องจากผลิตภัณฑ์ 10 บาท ของ OSP เพิ่งเริ่มขายใน ก.พ. และยังกระจายไม่คลุมพื้นที่ภาคอีสาน ซึ่ง CBG ได้ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มในปีที่ผ่านมา และด้วยโปรโมชันที่กลับมาใน มี.ค. บวกต้นทุนวัตถุดิบ และกำไรที่แข็งแกร่งในไตรมาส 1/68 และส่งออกจะมาเสริมในไตรมาส 2/68 จึงถือว่า Momentum กำไรค่อนข้างดี
Fundamental view: ระดับราคาปัจจุบันถือเป็น โอกาสซื้อสะสมหุ้น (ปรับคำแนะนำขึ้นมาเป็น “ซื้อ”) ราคาเป้าหมาย 77 บาท
.
บล.ทิสโก้ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายใหม่อยู่ที่ 72 บาท อ้างอิง PER-1.5SD เฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีของ CBG ที่ 23X จากเดิม 29X จากการแข่งขันของรายใหญ่ที่เริ่มรุนแรงมากขึ้น เราคาดการเติบโตของ CBG แบบอนุรักษ์นิยมเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 10% จากกลุ่มเครื่องดื่มพลังงานในประเทศที่ยังเป็นที่นิยมและธุรกิจรับจ้างส่งสินค้าประเภทเหล้า/เบียร์ที่เพิ่มขึ้น และแผนการบริหารต้นทุน ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายอยู่ PER ที่ 19.7X, Dividend Yield ที่ 2.4% ความเสี่ยง : ยอดขายและต้นทุน commodities ที่ไม่เป็นตามคาด, ภาพรวมเศรษฐกิจ
.
บล.เอเซียพลัสระบุว่าแม้เรายังคงประมาณการกำไรปี 2568 ไว้ที่ 3.0 พันล้านบาท (+7%YoY) แต่ได้ปรับลด PER ปี 2568 ลงจาก 30.5 เท่า (-1.0 S.D) เหลือ 25.3 เท่า (-1.5 S.D) สะท้อนความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น ทำให้ราคาเป้าหมายปรับลดจาก 92.75 บาท เหลือ 77.00 บาท
คงคำแนะนำ "Outperform" เพราะ1) ระยะสั้นคาดได้ประโยชน์จากฤดูร้อน ระยะถัดไปครึ่งปีหลัง 2568 คาดยอดขายและมาร์จิ้นจากต่างประเทศสูงขึ้น หลังเตรียมเปิดโรงงานผลิตในพม่า และผลิตบรรจุภัณฑ์ที่มีขนาดบางลง และ 2) ราคาหุ้นปัจจุบันปรับลงมาแล้วราว 22% YTD ขณะที่หุ้นในกลุ่มปรับลงเพียง 10%
เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา อ่านเพิ่มเติม