#ทันหุ้น-ตลาดหุ้นไทยเมื่อวานปรับตัวเพิ่มขึ้นเกิดสัญญาณฟื้นตัวทางเทคนิคกลับขึ้นไปเคลื่อนไหวเหนือระดับ 1,180 หลังจากปรับตัวลดลงไปทดสอบแนวรับที่ 1,160 แต่มีแนวต้านสำคัญที่ 1,190 ถ้าฟื้นตัวกลับขึ้นไป จะมีแนวต้านถัดไปที่ 1,220
สำหรับหุ้นที่น่าสนใจวันนี้ คือ GPSC หรือ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน)ดำเนินธุรกิจหลักผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า ไอน้ำ และสาธารณูปโภคต่างๆ นอกจากนี้ บริษัทยังดำเนินธุรกิจโดยการเข้าถือหุ้นในบริษัทที่ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า ไอน้ำ และสาธารณูปโภค รวมถึงธุรกิจในกลุ่ม New S-Curve ได้แก่ ธุรกิจแบตเตอรี ธุรกิจพลังงานอัจฉริยะ และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องทั้งในและต่างประเทศ
ผลการดำเนินงาน ปี 67 มีกำไร 4,062 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 1.44 บาท เมื่อเทียบกับผลการดำเนินงาน ปี 66 มีกำไร 3,694 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 1.31 บาท
GPSC รายงานผลประกอบการปี 67 มีกำไรสุทธิ 4,062 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 368 ล้านบาท หรือ 10% เมื่อเทียบกับปี 2566 โดยหลักจาก กำไรขั้นต้น 20,984 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,122 ล้านบาทหรือ 6% สาเหตุหลักมาจากรายได้ โรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) ที่เพิ่มขึ้น 3,057 ล้านบาท อันเนื่องมาจากปริมาณความต้องการไฟฟ้าและไอน้ำของลูกค้าอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น รวมถึงบริษัทได้มีการบริหารจัดการต้นทุนเชื้อเพลิง ทั้งก๊าซธรรมชาติและถ่านหินที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ส่วนรายได้อื่นอยู่ที่ 1,458ล้านบาทเพิ่มขึ้น 270 ล้านบาทหรือ 23%โดยหลักมาจากรายได้ดอกเบี้ยรับเพิ่มขึ้น 75%จากการบริหารจัดการกระแสเงินสดภายในบริษัทขณะที่มีการบันทึกการปรับมูลค่าเงินลงทุนในกิจการร่วมค้าของ บริษัท ไทยโซล่าร์รีนิวเอบิล จำกัด (TSR) ค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ลดลง 223 ล้านบาท หรือ 43%
ด้านเงินปันผลและส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมและการร่วมค้า ลดลง 784 ล้านบาท ด้านต้นทุนทางการเงิน เพิ่มขึ้น 9% จากอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้นและเงินกู้ยืมของกลุ่มกิจการที่เพิ่มขึ้น ผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน มีจำนวน 258 ล้านบาท ในขณะที่ปี 66 มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 252 ล้านบาท
นางสาวสุกิตตี ไชยรักษ์ ผู้จัดการฝ่ายอาวุโสการเงินองค์กรและนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC เปิดเผยในงาน "Opportunity Day" ในวันนี้ว่า บริษัทเตรียมงบลงทุนในช่วง 4 ปีข้างหน้า (68-71) ไว้ปีละประมาณ 3,000 ล้านบาท
โดยเงินลงทุนในปี 68 จะเน้นเป็นค่าใช้จ่ายทั่วไปที่เป็นการบริหารจัดการงานซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้าและเรื่องการลงทุนต่างๆ ส่วนการลงทุนที่ประเทศอินเดียคาดว่าปีนี้ไม่ต้องลงทุนเพิ่มแล้ว แต่เป็นการขยายแพลตฟอร์มเพื่อต่อยอดกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ในการเติบโต
อย่างไรก็ตามมองว่างบลงทุนใหญ่จะเกิดขึ้นในปี 72 ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างรอความชัดเจนของ โครงการเอนเนอยี รีคอฟเวอรี่ ยูนิต (ERU) ว่าจะได้ข้อสรุปอย่างไร ซึ่งหากมีการเจรจาที่เหมาะสมคาดว่าจะได้ข้อสรุปและใช้งบลงทุนประมาณ 20,000 ล้านบาท ภายในปี 72
ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานปีนี้ บริษัทคาดว่าจะดูแลในเรื่องกำไรของธุรกิจหลักได้ เพราะมองว่าบริษัทสามารถจัดการการบริหารจัดการต้นทุนได้ ประกอบกับคาดว่าต้นทุนการเงินจะปรับตัวลดลง จากปัจจุบันที่บริษัทล็อกไว้ระดับ 50%
นอกจากนี้บริษัทตั้งเป้าขยายกำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นเป็น 14,076 เมกะวัตต์ (MW) ในปี 72 ซึ่งเพิ่มจากปี 67 ที่อยู่ระดับ 7,058 MW
ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นเกิดสัญญาณฟื้นตัวทางเทคนิคเหนือแนวรับของกรอบแนวโน้มขาลงที่ 27.00 ทำให้แนวโน้มหลักยังมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องไปทดสอบแนวต้านถัดไปที่ 32.50 ถ้าทะลุผ่านขึ้นไปได้ จะมีแนวต้านถัดไปที่ 36.00
ช่องทางเฟสบุ๊ก ติดตามข่าวได้ที่เพจ ทันหุ้นออนไลน์
เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา อ่านเพิ่มเติม