> Trendtalk > KTB

26 กรกฎาคม 2024 เวลา 06:00 น.

ส่อง KTB

#ทันหุ้น-ตลาดหุ้นไทยเมื่อวานปรับตัวลดลงต่อเนื่องตามการปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีที่ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง ทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงไปทดสอบจุดต่ำสุดเดิมที่บริเวณ 1,288-1,290 ถ้าปรับตัวลดลงทำจุดต่ำสุดใหม่ต่ำกว่า 1,288 จะมีโอกาสปรับตัวลดลงไปทดสอบแนวรับถัดไปที่ 1,270 และ 1,250 ตามกรอบแนวโน้มขาลง


สำหรับหุ้นที่น่าสนใจวันนี้ คือ KTB หรือ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ดำเนินธุรกิจธนาคารพาณิชย์เต็มรูปแบบ โดยมีสาขาอยู่ทั่วภูมิภาคในประเทศไทย และในบางภูมิภาคหลักของโลก


ผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 67 มีกำไรสุทธิ 11,195 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.80 บาท เมื่อเทียบกับผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 66 มีกำไรสุทธิ 10,156 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.73 บาท


ส่วนผลการดำเนินงาน 6 เดือนแรกของปี 67 มีกำไรสุทธิ 22,273 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 1.59 บาท เมื่อเทียบกับผลการดำเนินงาน 6 เดือนของปี 66 มีกำไรสุทธิ 20,222 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 1.45 บาท


KTB รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 2567 มีกำไรสุทธิ จำนวน 11,195 ล้านบาท มุ่งเน้นการบริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์อย่างระมัดระวังและยืดหยุ่น บริหารพอร์ตสินเชื่อได้อย่างสมดุล รักษา Coverage Ratio ในระดับสูง รองรับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ เดินหน้าช่วยเหลือลูกค้ากลุ่มเปราะบางแก้หนี้ ส่งเสริมการมีสุขภาพทางการเงินที่ดีอย่างยั่งยืน


นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยปี 2567 อยู่ในช่วงเริ่มฟื้นตัวท่ามกลางความท้าทายโดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2567 ทั้งนี้การฟื้นตัวยังต่ำกว่าศักยภาพ และเป็นการฟื้นตัวแบบ K-shaped Recovery โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากภาคการท่องเที่ยวที่ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง รวมถึงนโยบายภาครัฐ ทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ การดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ การลดภาระค่าใช้จ่าย รวมถึงมาตรการเพิ่มกำลังซื้อผู้บริโภคในระยะข้างหน้า ขณะที่ภาคการส่งออกฟื้นตัวได้จำกัดจากปัญหาความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ มาตรการกีดกันทางการค้าที่เพิ่มขึ้น และสภาวะภูมิอากาศแปรปรวน นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทยยังได้รับแรงกดดันจากภาระหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงในขณะที่มีค่าครองชีพสูงขึ้น ธุรกิจ SME รวมถึงธุรกิจขนาดเล็กจำนวนมากที่อยู่นอกระบบยังเปราะบางและขาดความยืดหยุ่นในการปรับตัวจึงฟื้นตัวได้ช้า รวมถึงปัญหาเชิงโครงสร้างซึ่งกระทบต่อความสามารถในการแข่งขัน


ผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2/2567 เทียบกับไตรมาส 1/2567 ธนาคารมุ่งเน้นการเติบโตอย่างยั่งยืนพร้อมบริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์อย่างยืดหยุ่นและระมัดระวัง ติดตามคุณภาพสินทรัพย์อย่างใกล้ชิด รักษา Coverage ratio ในระดับสูงที่ร้อยละ 181 ตั้งสำรองในระดับที่เหมาะสมใกล้เคียงกับไตรมาสที่ผ่านมาเพื่อรองรับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ และบริหารจัดการ Portfolio เพื่อรักษาสมดุลด้านความเสี่ยงและผลตอบแทนที่มุ่งเน้นคุณภาพ ธนาคารและบริษัทย่อย มีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคาร เท่ากับ 11,195 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อยร้อยละ 1.1 โดยรายได้รวมจากการดำเนินงานลดลงเล็กน้อยที่ร้อยละ 3.1 สินเชื่ออยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับปี 2566 แม้ปรับลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาจากการชำระคืนของสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่และสินเชื่อภาครัฐ ขณะที่ค่าใช้จ่ายดำเนินงานอื่นๆ ลดลงร้อยละ 7.3 จากการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในองค์รวมอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ Cost to Income ratio เท่ากับร้อยละ 41.7 สินเชื่อด้อยคุณภาพปรับลงอยู่ที่ระดับ 98,701 ล้านบาท และ NPLs Ratio ที่ร้อยละ 3.12


สำหรับผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ธนาคารมุ่งเน้นการบริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์อย่างยืดหยุ่นและระมัดระวังต่อเนื่อง รักษา Coverage ratio ในระดับสูง เพื่อรองรับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ พร้อมตั้งสำรองในระดับที่เหมาะสมใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคาร เท่ากับ 22,274 ล้านบาทเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.1 โดยมีรายได้รวมจากการดำเนินงานขยายตัวร้อยละ 12.9 ทั้งจากการบริหารจัดการ Portfolio เพื่อรักษาสมดุลด้านความเสี่ยงและผลตอบแทนที่มุ่งเน้นคุณภาพ และอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวขึ้น รวมถึงการขยายตัวของรายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิและรายได้จากการดำเนินงานอื่นๆ ธนาคารยังคงมุ่งเน้นการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในองค์รวมอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ Cost to Income ratio เท่ากับร้อยละ 42.6 โดยค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่นๆ ขยายตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่เป็นผลจากบริหารจัดการทรัพย์สินรอการขายอย่างระมัดระวังโดยธนาคารตั้งค่าเผื่อด้อยค่าทรัพย์สินรอการขายตามศักยภาพของทรัพย์สินอย่างเหมาะสม อีกทั้ง ธนาคารยังคงให้ความสำคัญกับการขยายการลงทุนเพื่อสร้างศักยภาพด้านเทคโนโลยีและดิจิทัลเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการให้ครอบคลุมลูกค้าในทุกภาคส่วนและเพื่อพร้อมรับการเติบโตของอุตสาหกรรม การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและนวัตกรรมในอนาคต


ณ 30 มิถุนายน 2567 ธนาคาร (งบเฉพาะธนาคาร) มีเงินกองทุนชั้นที่ 1 ร้อยละ 17.57 ของสินทรัพย์ถ่วงน้ำหนักตามความเสี่ยง และมีเงินกองทุนทั้งสิ้น ร้อยละ 20.75 ของสินทรัพย์ถ่วงน้ำหนักตามความเสี่ยงซึ่งอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งเมื่อเทียบกับเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รวมถึงมีสภาพคล่องในระดับที่เพียงพอโดยรักษาระดับของ Liquidity Coverage ratio (LCR) อย่างต่อเนื่องสูงกว่าเกณฑ์ที่ธปท.กำหนด


ธนาคารมุ่งช่วยเหลือลูกค้าทุกกลุ่มให้มีสุขภาพทางการเงินที่ดี เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น พร้อมสนับสนุนแนวนโยบายของภาครัฐในการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง ทั้งลูกค้าบุคคลและผู้ประกอบการ SME รายย่อย ด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MRR  MLR และ MOR 0.25% ต่อปี เป็นเวลา 6 เดือน มีผลตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม - 15 พฤศจิกายน 2567 ซึ่งสามารถช่วยลดภาระทางการเงินให้กับลูกค้าได้มากกว่า 3 แสนบัญชี คิดเป็นวงเงินสินเชื่อรวมมากกว่า 2 แสนล้านบาท



ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นเกิดสัญญาณซื้อทางเทคนิคทะลุผ่านแนวต้านของเส้นค่าเฉลี่ย 200 วันที่ 17.50 ขึ้นไป หลังจากถูกขายลงไปสร้างฐานที่บริเวณ 17.00 ทำให้แนวโน้มของราคาหุ้นยังมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องไปทดสอแนวต้านถัดไปที่ 19.00 และ 19.70 แต่ถ้าปรับตัวลดลงต่ำกว่า 17.50 ลงไป จะเป็นสัญญาณขายทางเทคนิค



รู้ทันเกม รู้ก่อนใคร ติดตาม "ทันหุ้น" ที่นี่

FACEBOOK คลิก https://www.facebook.com/Thunhoonofficial/

YOUTUBE คลิก https://www.youtube.com/channel/UCYizTVGMealUUalT6VdUdNA

Tiktok คลิก https://www.tiktok.com/@thunhoon_

LINE@ คลิก https://lin.ee/uFms4n5

TELEGRAM คลิก https://t.me/thunhoon_news

Twitter คลิก https://twitter.com/thunhoon1

จาก
ถึง
Select...
หุ้น
Select...
หัวข้อ
Select...

ข่าวล่าสุด

อ่านต่อ

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา  อ่านเพิ่มเติม

X