#ทันหุ้น - ตลาดหุ้นไทยเมื่อวานปรับตัวลดลงไปทดสอบแนวรับที่ 1380 หลังจากฟื้นตัวไปทดสอบแนวต้านที่ 1400 แต่ยังไม่สามารถทะลุผ่านขึ้นไปได้ โดยมีแนวรับถัดไปที่ 1370 และมีแนวต้านสำคัญที่ 1400 ถ้าทะลุผ่านขึ้นไปได้ จะมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นไปทดสอบแนวต้านถัดไปที่ 1430 แล 1460
สำหรับหุ้นที่น่าสนใจวันนี้ คือ PTTEP หรือ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ดำเนินธุรกิจด้านการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ธุรกิจขนส่งก๊าซทางท่อในต่างประเทศ และการลงทุนในธุรกิจต่อเนื่อง
ผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 66 มีกำไรสุทธิ 18,101 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 4.56 บาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 24,171 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 6.09 บาท
ผลประกอบการ 9 เดือนแรกของปี 66 มีกำไรสุทธิ 58,422 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 14.28 บาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 55,290 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 14.01 บาท
นายมนตรี ลาวัลย์ชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP เปิดเผย ผลการดำเนินงาน ไตรมาสที่ 3/66 มีกำไรสุทธิ 18,101.44 ล้านบาท เทียบช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 24,171.78 ล้านบาท ลดลง 25%
ส่วนงวด 9 เดือน ปี 66 มีกำไรสุทธิ 58,422.44 ล้านบาท เทียบช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 55,290.75 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.66%
ทั้งนี้ PTTEP ชี้แจงต่อตลาดหลักทรัพย์ โดยใช้หน่วยเงินเป็นดอลลาร์สหรัฐฯ (ดอลลาร์ สรอ. ) ซึ่งไตรมาส 3/66 บริษัทย่อยมีกำไรสุทธิจำนวน 514 ล้านดอลลาร์ สรอ. ลดลง 150 ล้านดอลลาร์ สรอ. หรือร้อยละ 23 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 3 ปี 65 ที่มีกำไรสุทธิ 664 ล้านดอลลาร์ สรอ. โดยหลักจากรายได้จากการขายลดลง และสัญญาประกันความเสี่ยงราคาน้ำมันเปลี่ยนแปลงจากกำไรในไตรมาส 3 ปีก่อน เป็นขาดทุนในไตรมาสนี้
โดยกำไรสุทธิสำหรับไตรมาส 3 ปี 66 จำนวน 514 ล้านดอลลาร์ สรอ. แบ่งเป็น กำไรจากการดำเนินงานปกติจำนวน 539 ล้านดอลลาร์ สรอ. ลดลง 167 ล้านดอลลาร์ สรอ. เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 3 ปี 65 ที่มีกำไร 706 ล้านดอลลาร์ สรอ. สาเหตุหลักจากรายได้จากการขายลดลง 195 ล้านดอลลาร์ สรอ. จากราคาขายเฉลี่ยและปริมาณการขายเฉลี่ยต่อวันที่ลดลง
นอกจากนั้นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 37 ล้านดอลลาร์ สรอ. โดยหลักจากโครงการจี 1/61 และโครงการจี 2/61 มีค่าใช้จ่ายจากกิจกรรมซ่อมบำรุงเพิ่มขึ้น รวมถึงโครงการมาเลเซียมีค่ารื้อถอนอุปกรณ์การผลิตเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามค่าภาคหลวงลดลง 64 ล้านดอลลาร์สรอ. ส่วนใหญ่จากโครงการสัญญาแบ่งปันผลผลิตในประเทศไทยมีสัดส่วนรายได้จากการขายเพิ่มขึ้น และโครงการในประเทศมาเลเซียมีรายได้จากการขายลดลง
ในรอบ 9 เดือนของปี 2566 ปตท.สผ. มีความคืบหน้าการดำเนินงานทั้งธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมและธุรกิจใหม่ โดยได้ดำเนินการเจาะหลุมผลิตและติดตั้งแท่นผลิตใหม่เพิ่มเติมในโครงการจี 1/61 ซึ่งเป็นไปตามแผนการเพิ่มปริมาณการผลิตก๊าซธรรมชาติให้ได้ 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันในเดือนเมษายน 2567 รวมทั้ง เพิ่มการผลิตก๊าซฯ ในโครงการอาทิตย์ที่อัตราประมาณ 350 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ซึ่งสูงกว่าปริมาณขายก๊าซฯ ตามสัญญา เพื่อสนองตอบต่อแนวทางของภาครัฐในการลดผลกระทบด้านต้นทุนพลังงานให้กับประชาชน
ด้านความคืบหน้าการลงทุนในธุรกิจใหม่ ปตท.สผ. ได้ขยายความร่วมมือกับโพสโค โฮลดิ้งส์ (POSCO Holdings) บริษัทผู้ผลิตเหล็กชั้นนำในเกาหลีใต้ ในการหาโอกาสการลงทุนโครงการผลิตบลูไฮโดรเจนและกรีนไฮโดรเจนแบบครบวงจร รวมถึง โครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture and Storage หรือ CCS) จากก่อนหน้านี้ที่ได้ร่วมลงทุนในการพัฒนาโครงการผลิตกรีนไฮโดรเจนขนาดใหญ่ในประเทศโอมาน
ขณะที่บริษัท ฟิวเจอร์เทค เอนเนอร์ยี่ เวนเจอร์ส จำกัด (FTEV) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ ปตท.สผ. ที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับพลังงานสะอาด ได้เริ่มผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ “ลานแสงอรุณ” เพื่อนำมาใช้ในกระบวนการผลิตปิโตรเลียมที่โครงการเอส 1 ซึ่งจะช่วยลดการใช้พลังงานไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ และช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ปตท.สผ. ยังได้ร่วมลงนามข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับกรมประมง เพื่อศึกษาวิจัยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีการเปลี่ยนคาร์บอนไดออกไซด์เป็นหินแร่ และนำไปใช้เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของปะการังเทียม ที่ใช้ในการฟื้นฟูและพัฒนาแหล่งอาศัยของสัตว์ทะเลให้มีความอุดมสมบูรณ์ และช่วยลดปัญหาภาวะโลกร้อน
นอกจากนี้ บริษัทได้ดำเนินโครงการ PTTEP Subsurface University Energy Connect โดยร่วมมือกับมหาวิทยาลัยชั้นนำในประเทศ ศึกษา พัฒนางานวิจัย แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เพื่อส่งเสริมการสร้างบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถในสาขาวิชาธรณีศาสตร์ และวิศวกรรมปิโตรเลียม ให้กับอุตสาหกรรมพลังงาน ซึ่งเป็นการสนับสนุนประเทศไทยทั้งการสร้างความมั่นคงทางพลังงาน และการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CCS) เพื่อเป้าหมายในการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ไปพร้อมกันอีกด้วย
สำหรับผลประกอบการในรอบ 9 เดือนของปีนี้ ปตท.สผ. มีรายได้รวม 6,646 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (สรอ.) (เทียบเท่า 229,345 ล้านบาท) และมีปริมาณขายปิโตรเลียมเฉลี่ยอยู่ที่ 457,737 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ราคาขายผลิตภัณฑ์เฉลี่ย ลดลงประมาณร้อยละ 10 มาอยู่ที่ 48.14 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ
อย่างไรก็ตาม รายจ่ายในรอบ 9 เดือนลดลง ส่งผลให้มีกำไรสุทธิ 1,694 ล้านดอลลาร์ สรอ. (เทียบเท่า 58,422 ล้านบาท) โดยยังคงรักษาต้นทุนต่อหน่วย (Unit cost) ไว้ที่ 27.23 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ และมีอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคาที่ร้อยละ 74 นำส่งรายได้ 47,600 ล้านบาท จากการดำเนินธุรกิจเพื่อการพัฒนาประเทศ
จากผลการดำเนินงานในรอบ 9 เดือนของปี 2566 ปตท.สผ. สามารถนำส่งรายได้ให้กับรัฐ ซึ่งอยู่ในรูปภาษีเงินได้ ค่าภาคหลวง โบนัสการผลิต และผลประโยชน์อื่น ๆ ประมาณ 47,600 ล้านบาท เพื่อนำไปพัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ เช่น ด้านการพัฒนาชุมชน การศึกษา และการวิจัยและพัฒนา
ราคาหุ้นปรับตัวลดลงไปทดสอบแนวรับสำคัญของกรอบแนวโน้มขาขึ้นที่ 163 ถ้าหลุดจะมีโอกาสปรับตัวลดลงต่อเนื่องไปทดสอบแนวรับถัดไปที่ 158 แต่ถ้าฟื้นตัวกลับขึ้นไปได้ จะมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่ 175 และ 180 ตามกรอบแนวโน้มขาขึ้น
รู้ทันเกม รู้ก่อนใคร ติดตาม "ทันหุ้น" ที่นี่
FACEBOOK คลิก https://www.facebook.com/Thunhoonofficial/
YOUTUBE คลิก https://www.youtube.com/channel/UCYizTVGMealUUalT6VdUdNA
Tiktok คลิก https://www.tiktok.com/@thunhoon_
LINE@ คลิก https://lin.ee/uFms4n5
TELEGRAM คลิก https://t.me/thunhoon_news
Twitter คลิก https://twitter.com/thunhoon1
เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา อ่านเพิ่มเติม