ทิศทางการเดินเกมต่อรองทางการค้าระหว่างไทย และสหรัฐ

#ทันหุ้น-การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐ กับประเทศคู่ค้าต่าง ๆ ที่กำลังดำเนินอยู่เป็นส่วนหนึ่งของภาพใหญ่ที่สหรัฐ ใช้นโยบาย Strategic Tariff Realignment เพื่อกดดันห่วงโซ่อุปทาน (Supply chain) ของประเทศคู่ค้าและเสริมความมั่นคงทางเศรษฐกิจในประเทศ ภายใต้บริบทการเมืองโลกที่เปลี่ยนแปลง (Geopolitical fragmentation) ดังนั้นข้อตกลงทางการค้าที่เกิดขึ้นจึงมักเอนเอียง เพื่อรักษาผลประโยชน์ฝั่งสหรัฐ เป็นหลัก

จากการที่สหรัฐ ยังคงเรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยในระดับสูงที่ 36% เช่นเดิม ตามที่ประกาศเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2568 ทีม Wealth Research ของหลักทรัพย์บัวหลวง ระบุในรายงาน Wealth Insight ฉบับวันที่ 9 ก.ค. 2568 ว่า รัฐบาลไทยอาจจำเป็นต้องยื่นข้อเสนอใหม่อื่น ๆ เพิ่มเติม เพื่อให้ผลประโยชน์แก่สหรัฐ มากขึ้น อาทิ ลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ ให้เหลือในกรอบ 7-9% และเพิ่มการลงทุนโดยตรงในสหรัฐ เพิ่มขึ้น

ในระยะสั้นเราคาดว่ามีแนวโน้มสูงที่ไทยจะไม่สามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐได้ทันก่อนวันที่ 1 สิงหาคม 2568 เนื่องจากยังมีหลายเงื่อนไขที่ไทยไม่สามารถตอบรับได้โดยไม่กระทบผู้ประกอบการในประเทศ โดยเฉพาะ เกษตรกร ดังนั้นรัฐบาลอาจจะต้องเตรียมมาตรการเยียวยาให้แก่ผู้ประกอบการไทยในกรณีที่การเจรจาล่าช้าไม่สามารถปิดดีลได้ทันเวลา

นอกจากนี้ยังคาดว่าในกรณีที่บรรลุข้อตกลงทางการค้าแล้วสหรัฐฯ อาจจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยในอัตราไม่ต่ากว่า 20% คาดว่าน่าจะอยู่ระหว่าง 20-30% เพราะไทยอาจไม่สามารถเปิดเสรีทางการค้ากับสหรัฐฯ ได้เท่ากับเวียดนามที่คิดในอัตรา 0%

ในระยะกลาง ไทยอาจต้องเร่งกระจายตลาดส่งออกไปยังคู่ค้าอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น ประเทศในกลุ่ม ASEAN, จีน, อินเดีย เป็นต้น เพื่อบรรเทาหรือกระจายความเสี่ยงจากการพึ่งพา(Dependency) กับตลาดสหรัฐฯ และนักลงทุนควรต้องจับตาการฟื้นตัวของคำสั่งซื้อ (Export order recovery) ในตลาดอื่นในปี 2569 ซึ่งอาจมีบทบาทสำคัญในการชดเชยผลกระทบ หากอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ต่อสินค้าจากไทยสูงเกิน 20% อย่างไรก็ดีสามารถติดตามอ่านรายการพิเศษฉบับเต็มได้ทางแอป Wealth CONNEX