07 กรกฎาคม 2025 เวลา 06:40 น.
#GULF #ทันหุ้น • ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นโลกยังเดินหน้าปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง นำโดยหุ้นสหรัฐ ที่ทั้ง S&P 500 และ Nasdaq Composite สามารถทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นแห่งอื่นปรับตัวผสมผสาน จากการเข้าใกล้วันครบกำหนดการเลื่อนภาษีตอบโต้ แต่ยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงการค้าได้ สำหรับปัจจัยหลักของหุ้นสหรัฐ มาจากตัวเลขเศรษฐกิจที่ดีกว่าคาดโดยเฉพาะตลาดแรงงานที่ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร 147,000 ตำแหน่ง สูงกว่าคาดที่ 106,000 ตำแหน่ง อัตราการว่างงานปรับลดลงจาก 4.2% สู่ 4.1% อีกทั้งยังได้แรงหนุนจากการเจรจาการค้าที่ได้ดีลที่ดีจากเวียดนาม โดยสหรัฐจะเก็บภาษีสินค้าที่นำเข้าจากเวียดนามที่ 20% และ 40% สำหรับสินค้าที่ถูกส่งผ่าน (Transship) จากประเทศอื่นโดยเฉพาะจีน ขณะที่เวียดนามยอมยกเลิกภาษีสินค้าจากสหรัฐ ทั้งหมดให้เป็น 0%
นอกจากประเด็นนี้ ยังมีการผ่าน “One Big Beautiful Bill” หรือร่างกฎหมายกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่ผ่านวุฒิสภาและได้รับการอนุมัติจากสภาผู้แทนในช่วงปลายสัปดาห์ ซึ่งจะเป็นการลดภาษีครั้งใหญ่ให้กับภาคเอกชนและบุคคลธรรมดา นอกจากนี้ยังมีปัจจัยบวกจากปัจจัยจุลภาคที่หุ้นในกลุ่มธนาคารใหญ่ของสหรัฐ ทั้ง 6 แห่ง JPMorgan, Bank of America, Wells Fargo, Citi, Goldman Sachs และ Morgan Stanley ปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังผ่านการทดสอบ Stress Test ของ Fed ได้อย่างแข็งแกร่ง และประกาศแผนเพิ่มวงเงินจ่ายปันผลและอนุมัติการซื้อหุ้นคืนในระดับสูงสุดใหม่ อีกทั้งยังได้แรงหนุนเพิ่มเติมจากแนวโน้มการผ่อนคลายเกณฑ์เงินกองทุนขั้นต่ำ (Tier 1Capital Ratio) ซึ่งช่วยเสริมความสามารถในการปล่อยสินเชื่อและถือครองตราสารหนี้ของภาครัฐ
สำหรับปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้ ได้แก่ วันครบกำหนดการเลื่อนภาษีตอบโต้ในวันที่ 9 กรกฎาคม ที่ล่าสุดมีเพียงแค่อังกฤษ และเวียดนาม ที่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ ขณะที่จีนอยู่ในช่วงพักรบ ด้านคู่ค้าสำคัญอย่างยุโรป ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ รวมถึงประเทศใหญ่อย่างอินเดีย ยังคงอยู่ในขั้นตอนการเจรจา หากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงภายในกำหนดเวลา อาจทำให้อัตราภาษีนำเข้าสูงขึ้นจนนำมาซึ่งการขึ้นภาษีโต้ตอบกันได้ เรายังคงมุมมองระมัดระวังการเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้น แต่เราเริ่มเห็นการปรับประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนสหรัฐ ขึ้นในบางกลุ่มโดยเฉพาะเทคโนโลยี เพราะฉะนั้นแนะนำให้นักลงทุน Wait & See โดยเราอาจแนะนำให้เข้าลงทุนกองทุนหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐ หากผลประกอบการของหุ้นเซมิคอนดักเตอร์ต้นน้ำออกมาดีกว่าคาด เรายังคงแนะนำให้เพิ่มน้ำหนักในตราสารหนี้เพื่อกระจายความเสี่ยง ผ่านกองทุน UGISFX-Nที่เราวางไว้เป็น Core Portfolio เน้นลงทุนในตราสารหนี้โลกคุณภาพดี แต่แนะนำให้ลงทุนเมื่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปี สหรัฐ อยู่ใกล้ 4.5% และด้วยค่าบาทที่แข็งค่า
เราแนะนำเลือกกองทุน Unhedged Class เพื่อหลีกเลี่ยงค่าใช้จ่าย Hedging สำหรับ Satellite Portfolio ระยะสั้น 3-6 เดือน เราแนะนำ ONE-FFI เพื่อเก็งกำไรจากมุมมองที่ว่าค่าบาทปัจจุบันแข็งเกินไป โดยกองทุนลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ระยะสั้นแบบ Unhedged ซึ่งจะสร้างผลตอบแทนเมื่อค่าบาทกลับมาอ่อนค่า ซึ่งกลยุทธ์ระยะสั้นนี้เหมาะกับนักลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงได้ มีเวลาติดตามตลาดมากเพียงพอ ตลอดจนสามารถตัดขาดทุนได้ตามแผน โดยเราแนะนำให้นักลงทุนทยอยสะสมในกรอบค่าเงินบาทต่อดอลลาร์ที่ 32 – 33.5และตัดขาดทุนเมื่อค่าเงินบาทแข็งค่ามากกว่า 31.50 บาท โดยมีเป้าหมายการทำกำไรที่ 35 บาทต่อดอลลาร์
สำหรับตลาดหุ้นไทย KS ประเมิน SET จะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,090-1,145 จุด โดยดัชนี SET ปรับตัวขึ้นได้ดีในสัปดาห์ที่ผ่านมา ปัจจัยหนุนหลักมาจาก 3 ด้าน คือ ด้านการเมืองที่มีความชัดเจนเพิ่มขึ้นหลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติให้นายกฯ แพทองธาร หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว แต่รัฐบาลยังดำเนินงานต่อไปได้ไม่หยุดชะงัก ทำให้การออกมาตรการภาครัฐและการพิจารณางบประมาณปี 2569 ไม่ติดขัด ด้านการเจรจาการค้าไทย-สหรัฐ ที่มีความคืบหน้าเชิงบวก โดยรองนายกฯ พิชัย ชุณหวชิร เดินทางไปเจรจาที่วอชิงตัน ดี.ซี. และตลาดคาดหวังว่าไทยอาจได้อัตราภาษี 10-15% ซึ่งต่ำกว่าเวียดนามที่ได้ 20% ทำให้ยังมีความสามารถในการแข่งขันอยู่ และด้านมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ครม.อนุมัติวงเงิน 1.15 แสนล้านบาท รวมโครงการ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” งบ 1,760 ล้านบาท และโครงการกระตุ้นการท่องเที่ยว 7 โครงการ รวม 3,960 ล้านบาท คาดสร้างมูลค่าเศรษฐกิจ 200,507 ล้านบาท และช่วยเพิ่ม GDP ได้ 0.4%
หุ้นแนะนำสัปดาห์นี้ คือ PTTGC : ราคาพื้นฐาน 23.10 บาท จากผลประกอบการที่แสดงศักยภาพ Global-Play ของ PTTGC โดยระยะสั้นคาดว่า GRM จะฟื้นตัวจาก USD 3.4/bbl ใน 1Q/68 เป็น USD 5.0/bbl ใน 2Q/68 จากอุปสงค์ตามฤดูกาลและการเพิ่มสัดส่วนเอเทนจาก 33% เป็น 38% ช่วยลดต้นทุนผลิต พร้อมส่วนต่างโพลิเมอร์ที่ปรับตัวดีขึ้นตามราคานาฟทาที่ลดลง สำหรับระยะกลางถึงยาว กลยุทธ์ Performance Enhancement จะช่วยประหยัดต้นทุนผ่านการประหยัด OPEX และการบริหารแบบองค์รวม
GULF : ราคาพื้นฐาน 61.00 บาท จากผลประกอบการที่แสดงโครงสร้างธุรกิจมั่นคงและป้องกันความเสี่ยงได้ดีของ GULF ที่แทบไม่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐ เนื่องจาก 92% ของรายได้มาจากสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับกฟผ. (80% จากก๊าซธรรมชาติ 3% จากพลังงานหมุนเวียน 9% จากธุรกิจ LNG) ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบต่ำเมื่อเทียบกับผู้ผลิตรายอื่นเพราะมีเพียง 6% ของรายได้จากโรงไฟฟ้า SPP GULF ตั้งเป้าเติบโต 25% ในปี 2568 จากการรับรู้รายได้เต็มปีจากโรงไฟฟ้าใหม่ GPD หน่วย 3-4 และ HKP โรงไฟฟ้าใหม่ที่จะเปิดดำเนินการ HKP หน่วย 2 (770 MW เริ่มมี.ค. 2568) โครงการโซลาร์เพิ่มเติม 707 MW คาด COD ภายในสิ้นปี นอกจากนี้คาดรับรู้กำไรจาก ADVANC 1.0-1.2 หมื่นล้านบาท ในปี 2568 และเพิ่มเป็น 1.5-1.8 หมื่นล้านบาทต่อปี ตั้งแต่ปี 2569 พร้อมสถานะเครดิตที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญด้วยอันดับเครดิตเพิ่มขึ้นจาก A+ เป็น AA- หลัง Amalgamation
รู้ทันเกม รู้ก่อนใคร ติดตาม "ทันหุ้น" ได้ทุกช่องทางเหล่านี้
เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา อ่านเพิ่มเติม