03 กรกฎาคม 2025 เวลา 08:00 น.
#เอชเอสบีซีไพรเวทแบงก์ #ทันหุ้น -เอชเอสบีซีไพรเวทแบงก์ครึ่งปีหลังเพิ่มน้ำหนักลงทุนหุ้น ทั้งอเมริกา จีน สิงคโปร์และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ตราสารหนี้ชอบบอนด์อังกฤษ และยุโรป พร้อมเปิดธีมลงทุนเอเชีย ชูจีนเด่นด้วยนวัตกรรม AIและมาตรการเพิ่มผลตอบแทนส่วนของผู้ถือหุ้น
นางชึก วาน ฟาน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการลงทุน ประจำภูมิภาคเอเชีย (Chief Investment Officer, Asia) ของเอชเอสบีซี ไพรเวท แบงก์เผยว่า ในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ธนาคารยังคงเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นโลกเล็กน้อย โดยเฉพาะในตลาดสหรัฐอเมริกา จีน อินเดีย สิงคโปร์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยมองว่าตลาดหุ้นในสหรัฐ และจีนมีแนวโน้มได้รับประโยชน์จากโอกาสการเติบโตเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะการนำเทคโนโลยี AI มาใช้งานและกระบวนการสร้างรายได้จากนวัตกรรม
ในด้านตราสารหนี้ ธนาคารมีมุมมองเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลอังกฤษ และพันธบัตรการลงทุนของยุโรป และมีมุมมองที่เป็นกลางต่อตราสารหนี้รัฐบาลสหรัฐ และพันธบัตรบริษัทเอกชนของสหรัฐ โดยกลยุทธ์นี้จะช่วยลดความเสี่ยงที่เกิดจากการตอบโต้มาตรการภาษีระหว่างประเทศ และความกังวลต่อหนี้สาธารณะของรัฐบาลสหรัฐ ผ่านการเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในทองคำ กองทุนเฮดจ์ฟันด์ (Hedge Funds) พันธบัตรเอกชน และการจัดสรรกลยุทธ์การลงทุนในหลักทรัพย์นอกตลาด (Private Equity) สินเชื่อภาคเอกชน และโครงสร้างพื้นฐาน
ขณะที่มุมมองการลงทุนในเอเชีย นางชึก วาน ฟาน มองว่า ธีมนวัตกรรมจีน เป็นธีมการลงทุนนี้เน้นโอกาสการเติบโตเชิงโครงสร้างจากการเร่งพัฒนาเทคโนโลยี AI ของจีน โดยได้รับแรงผลักดันจากนวัตกรรมแบบโอเพ่นซอร์สของบริษัท DeepSeek จีนนั้นได้แซงหน้าสหรัฐ และยุโรปในด้านผลผลิตงานวิจัย AI ทำให้ประเทศจีนซึ่งมีเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 2 ของโลกในปัจจุบัน ครอบครองสิทธิบัตรด้าน AI มากที่สุดในโลก คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 70% ของทั้งหมดในโลก
มีนักวิจัย AI ประมาณ 50%ของทั่วโลกอาศัยอยู่ในจีน โดยหลังจากที่เกิดการปรับมูลค่าหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีจีนโดยมี DeepSeek เป็นผู้นำ ธนาคารยังคงมองว่าหุ้นเทคโนโลยีของจีนยังมีราคาต่ำเมื่อเทียบกับบริษัทเทคโนโลยีในสหรัฐ แต่หากจีนยังสามารถสร้างความก้าวหน้าในด้าน AI ได้อย่างต่อเนื่อง ก็จะสามารถช่วยลดช่องว่างด้านมูลค่าหุ้นในระยะยาวได้
ท่ามกลางความไม่แน่นอนของตลาด ธนาคารยังคงมองหาผลตอบแทนจากหุ้นที่มีความผันผวนน้อยในทุกสภาวะตลาด ผ่านธีมการเร่งผลตอบแทนจากผู้ถือหุ้น โดยเน้นลงทุนในบริษัทที่มีคุณภาพ และมีศักยภาพในการเพิ่มผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) ผ่านการจ่ายเงินปันผลสูงและการซื้อหุ้นคืน จากคาดว่าผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือหุ้นในเอเชีย (ไม่รวมญี่ปุ่น) จะเพิ่มขึ้นจากประมาณ 11% ในปีที่ผ่านมา เป็น 12.5% ภายในปี 2569
เน้นลงทุนไปที่บริษัทขนาดใหญ่ และขนาดใหญ่มากที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมของเอเชีย ในธีมบริษัทเอเชียที่ยืนหยัดระยะยาว โดยบริษัทเหล่านี้มีโมเดลธุรกิจที่พิสูจน์แล้วว่า มีความสามารถในการแข่งขัน มีงบดุลที่แข็งแกร่ง และแบรนด์ที่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง
เชื่อว่านักลงทุนระยะยาวสามารถใช้เป็นแกนกลางของพอร์ตการลงทุนเชิงกลยุทธ์ได้ ดัชนี S&P Asia 50 ซึ่งประกอบด้วยหุ้นบลูชิพ 50อันดับแรกของเอเชีย ปัจจุบันซื้อขายที่ราคาต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลกอย่างมีนัยสำคัญ
เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา อ่านเพิ่มเติม