20 พฤศจิกายน 2024 เวลา 17:30 น.
นางชวินดา หาญรัตนกูล นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน หรือ AIMC ในฐานะตัวแทนบริษัทจัดการลงทุนในประเทศไทย กล่าวว่า บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน หรือ บลจ.ในอุตสาหกรรม พร้อมสนับสนุนการลงทุนอย่างยั่งยืนภายใต้กรอบ ESG (Environmental, Social, and Governance) ผ่านกองทุน ThaiESGที่สามารถลงทุนได้ทั้งหุ้นไทย และตราสารหนี้ไทย ซึ่งในช่วงโค้งสุดท้ายปลายปี 2567นับเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเดินหน้าขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมการลงทุนผ่านกองทุนดังกล่าว
นอกจากนี้ ยังเป็นการขับเคลื่อนบริษัทจดทะเบียน ปรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึง ESG เพื่อเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในดัชนี SETESG โดยในปีที่ผ่านมามีหลักทรัพย์ที่เข้าเกณฑ์ ESG ราว191 ราย และในสิ้นปีนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 229 ราย
“สะท้อนว่ากรอบการลงทุนอย่างยั่งยืน เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้บริษัทเร่งปรับเปลี่ยนการดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงหลัก ESG มากขึ้น ขณะเดียวกัน ธุรกิจกองทุนรวมในบทบาทนักลงทุนสถาบันก็ให้การสนับสนุนด้วยการออกกองทุน ThaiESG ซึ่งปัจจุบันมีประมาณ 42กองทุน มี AUM หรือ สินทรัพย์ภายใต้การบริหารราว 1.2หมื่นล้านบาท และในโค้งท้ายปลายปีที่นักลงทุนเริ่มวางแผนภาษี จะมีเม็ดเงินลงทุนใหม่เข้ามาในกอง ThaiESG อีก และเราคาดหวังว่าจะสูงราว 2.5 หมื่ล้านบาท”
นางชวินดา เชื่อว่าเกณฑ์ใหม่ที่ภาครัฐให้ คือระยะเวลาการถือครองที่ลดลงเหลือเพียง 5 ปี วงเงินลดหย่อนที่เพิ่มเป็น 300,000 บาท ไม่รวมกับวงเงินลดหย่อนภาษีจากกองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ หรือ RMF,ประกันชีวิต,ประกันสุขภาพ เป็นต้น ลงทุนได้ทั้ง หุ้น และตราสารหนี้ เกณฑ์ดังกล่าวยังย้อนหลังไปถึงกองทุน ThaiESG ที่ออกมาก่อนหน้านี้ด้วย จึงเชื่อว่าน่าจะเป็นแรงจูงใจให้กับนักลงทุนที่วางแผนลดหย่อนภาษี พร้อมส่งเสริมการออมในระยะยาว โดยเฉพาะนักลงทุนเจนใหม่ที่สนใจเรื่องการลงทุนมากขึ้น ได้เริ่มต้นการออมกับหุ้น-ตราสารหนี้ ที่มี ESG
*ย้ำต้องไม่ซ้ำรอย STARK
อย่างไรก็ตาม ต่อกรณีที่นักลงทุนกังวลเรื่องของ STARKซึ่งเป็นหุ้นที่มีเรตติ้ง ESG นางชวินดา ให้ความเห็นว่า ต่อกรณีดังกล่าว บลจ. ทุกๆ บริษัทให้ความเข้มงวดมากขึ้นในการคัดเลือกหลักทรัพย์ที่จะเข้าไปลงทุน แน่นอนว่า ธุรกิจกองทุนรวมยังคงดูเรตติ้ง อันดับความน่าเชื่อถือ พร้อมกันก็จะเข้าไปดูประวัติของผู้บริหารย้อนหลัง ซึ่งรวมไปถึงคณะกรรมการบริษัทด้วย
“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เราจะไม่ปล่อยให้เรื่องเงียบ ซึ่ง 7 บลจ.ที่ลงทุนแบบ PP (ลงทุนแบบเฉพาะเจาะจงให้แก่บุคคลในวงจำกัด) วงเงินลงทุนราว 3.36พันล้านบาทนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการคาดว่าต้นปี 2568 เราจะทำการสืบพยาน 300 ปาก ก่อนส่งฟ้อง”
ย้อนกลับมาที่ เรื่องของ ThaiESG นอกจาก เกณฑ์ที่ปรับใหม่ให้น่าสนใจ เป็นช่วงของการวางแผนภาษี ในส่วนของตลาดหุ้นไทยเอง มองไปในปี 2568 นางชวินดา กล่าวว่า ทางสมาคม ก็ยังมั่นใจว่าจะสามารถเติบโตต่อไปได้ และจะเป็นการเติบโตแบบ Organic (ออแกนิก) ซึ่งหมายความว่า เป็นการเติบโตตามปัจจัยพื้นฐาน ตามเศรษฐกิจไทยที่ยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง
*P/BV ยังต่ำ
“หุ้นไทยไม่ได้ถูกหรือแพงเกินไป และเมื่อดู P/BV ต่ำมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ โดยเรามี P/BV เพียง 1เท่า อีกทั้งช่วงที่ผ่านมาก็เห็นชัดว่าตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวขึ้น โดยเฉพาะในหมวดเฮลธ์ แบงก์ ไอที สินค้าอุปโภคบริโภค และคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องอีกในปีหน้า แบบออแกนิก คือ เติบโตตามสภาวะปกติแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่ต้องมีตัวช่วย อย่างไรก็ตาม เรายังคงแนะนำให้กระจายพอร์ตลงทุนที่หลากหลายเพื่อลดความผันผวน”
ส่วนประเด็นที่อาจกระทบต่อการลงทุนธีม ESG หลัง โดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐนั้น แม้จะรู้กันว่า ทรัมป์ ไม่ได้สนใจ หรือสนับสนุน ESG ซึ่ง นางชวินดา มองว่า ESG ยังคงเดินหน้าต่อไปได้ แต่อาจจะเติบโตช้าลงบ้าง เพราะหลายประเทศได้ขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าวไปไกลมาก โดยเฉพาะภูมิภาคยุโรปที่ก้าวไปไกลเกินจะถอยกลับ ขณะที่เอเชีย ก็ให้ความสำคัญ แม้จีนเองก็ยังให้การตอบรับ หรือหากมองไปในสหรัฐเองก็มีกองทุน ESGหลายกอง ดังนั้นเรื่องดังกล่าว จึงยังคงเดินหน้าต่อไป
*หุ้นไทยปี68 แตะ1,650 จุด
นายพจน์ หะริณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน วรรณ จำกัด หรือ บลจ.วรรณ กล่าวเสริมว่า บลจ.วรรณ มองตลาดหุ้นไทยเป็นบวกมากขึ้น โดยปี 2568จะขึ้นไปแตะ 1,650 จุด ได้จากการประเมินภาพรวมเศรษฐกิจใหม่หลังทรัมป์มา ที่อาจทำให้เกิดการย้ายฐานผลิตจากการขึ้นอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐ ซึ่งไทยจะได้รับอานิสงส์จากเรื่องนี้, เทรนด์อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในช่วงขาลง ซึ่งจะเป้นหนึ่งในแรงขับเคบื่อนการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
“ในส่วนของหุ้นไทย จะมีการเร่งเบิกจ่าย เสถียรภาพของรัฐบาล มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปัจจัยเหล่านี้จะเป็นตัวหนุนดัชนีหุ้นไทยน่าจากประมาณ 1,450 จุด ไปแตะ 1,650 จุดในปี2568 มีอัพไซด์ราว 13-14% ดั้งนั้นจึงยังเป็นจังหวะเข้าลงทุนหุ้นไทยได้”
* บลจ.กรุงศรีเห็นพ้องหุ้นไทยโตต่อ
นางสุภาพร ลีนะบรรจง กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด หรือ บลจ.กรุงศรี มองไปในทิศทางบวกเช่นกัน คาดว่ หุ้นไทยปีนี้จะปิดที่ 1,500 จุดได้ มีกองทุนวายุภักษ์ และกองทุนเพื่อสิทธิประโยชน์ทางภาษี เป็นแรงหนุนและปี 2568 จะขึ้นไปแตะ 1,625 จุด
เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา อ่านเพิ่มเติม