> กองทุน >

20 พฤศจิกายน 2024 เวลา 17:30 น.

เม็ดเงินThaiESGเตรียมเข้าหุ้นไทย กองทุนหวังAUMใหม่กว่า2หมื่นล.

#ThaiESG #ทันหุ้น - สมาคม บลจ. ลุยโค้งท้าย หนุน ThaiESGหวังเม็ดเงินใหม่กว่า 2.5 หมื่นล้านบาท เข้าลงทุนตลาดปลายปี ส่วนเรื่อง STARKไม่เงียบ ย้ำเกณฑ์เข้ม ดูมากกว่า ESG ประวัติย้อนหลังผู้บริหาร-กรรมการ 7 บลจ.เตรียมส่งฟ้อง ปี 2568 ส่วนทรัมป์มา ธีม ESG ยังคงอยู่ ลมไม่เปลี่ยนทิศ เพราะยุโรป และหลายประเทศทำเรื่องความยั่งยืนไปไกลเกินถอย ชี้จังหวะลงทุนหุ้นไทย วายุภักษ์ กองทุนประหยัดภาษีหนุน คาด SET แตะ 1,650 จุดปีหน้า


นางชวินดา หาญรัตนกูล นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน หรือ AIMC ในฐานะตัวแทนบริษัทจัดการลงทุนในประเทศไทย กล่าวว่า บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน หรือ บลจ.ในอุตสาหกรรม พร้อมสนับสนุนการลงทุนอย่างยั่งยืนภายใต้กรอบ ESG (Environmental, Social, and Governance) ผ่านกองทุน ThaiESGที่สามารถลงทุนได้ทั้งหุ้นไทย และตราสารหนี้ไทย ซึ่งในช่วงโค้งสุดท้ายปลายปี 2567นับเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเดินหน้าขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมการลงทุนผ่านกองทุนดังกล่าว


นอกจากนี้ ยังเป็นการขับเคลื่อนบริษัทจดทะเบียน ปรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึง ESG เพื่อเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในดัชนี SETESG โดยในปีที่ผ่านมามีหลักทรัพย์ที่เข้าเกณฑ์ ESG ราว191 ราย และในสิ้นปีนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 229 ราย


“สะท้อนว่ากรอบการลงทุนอย่างยั่งยืน เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้บริษัทเร่งปรับเปลี่ยนการดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงหลัก ESG มากขึ้น ขณะเดียวกัน ธุรกิจกองทุนรวมในบทบาทนักลงทุนสถาบันก็ให้การสนับสนุนด้วยการออกกองทุน ThaiESG ซึ่งปัจจุบันมีประมาณ 42กองทุน มี AUM หรือ สินทรัพย์ภายใต้การบริหารราว 1.2หมื่นล้านบาท และในโค้งท้ายปลายปีที่นักลงทุนเริ่มวางแผนภาษี จะมีเม็ดเงินลงทุนใหม่เข้ามาในกอง ThaiESG อีก และเราคาดหวังว่าจะสูงราว 2.5 หมื่ล้านบาท”


นางชวินดา เชื่อว่าเกณฑ์ใหม่ที่ภาครัฐให้ คือระยะเวลาการถือครองที่ลดลงเหลือเพียง 5 ปี วงเงินลดหย่อนที่เพิ่มเป็น 300,000 บาท ไม่รวมกับวงเงินลดหย่อนภาษีจากกองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ หรือ RMF,ประกันชีวิต,ประกันสุขภาพ เป็นต้น ลงทุนได้ทั้ง หุ้น และตราสารหนี้ เกณฑ์ดังกล่าวยังย้อนหลังไปถึงกองทุน ThaiESG ที่ออกมาก่อนหน้านี้ด้วย จึงเชื่อว่าน่าจะเป็นแรงจูงใจให้กับนักลงทุนที่วางแผนลดหย่อนภาษี พร้อมส่งเสริมการออมในระยะยาว โดยเฉพาะนักลงทุนเจนใหม่ที่สนใจเรื่องการลงทุนมากขึ้น ได้เริ่มต้นการออมกับหุ้น-ตราสารหนี้ ที่มี ESG


*ย้ำต้องไม่ซ้ำรอย STARK

อย่างไรก็ตาม ต่อกรณีที่นักลงทุนกังวลเรื่องของ STARKซึ่งเป็นหุ้นที่มีเรตติ้ง ESG นางชวินดา ให้ความเห็นว่า ต่อกรณีดังกล่าว บลจ. ทุกๆ บริษัทให้ความเข้มงวดมากขึ้นในการคัดเลือกหลักทรัพย์ที่จะเข้าไปลงทุน แน่นอนว่า ธุรกิจกองทุนรวมยังคงดูเรตติ้ง อันดับความน่าเชื่อถือ พร้อมกันก็จะเข้าไปดูประวัติของผู้บริหารย้อนหลัง ซึ่งรวมไปถึงคณะกรรมการบริษัทด้วย


“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เราจะไม่ปล่อยให้เรื่องเงียบ ซึ่ง 7 บลจ.ที่ลงทุนแบบ PP (ลงทุนแบบเฉพาะเจาะจงให้แก่บุคคลในวงจำกัด) วงเงินลงทุนราว 3.36พันล้านบาทนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการคาดว่าต้นปี 2568 เราจะทำการสืบพยาน 300 ปาก ก่อนส่งฟ้อง”


ย้อนกลับมาที่ เรื่องของ ThaiESG นอกจาก เกณฑ์ที่ปรับใหม่ให้น่าสนใจ เป็นช่วงของการวางแผนภาษี ในส่วนของตลาดหุ้นไทยเอง มองไปในปี 2568 นางชวินดา กล่าวว่า ทางสมาคม ก็ยังมั่นใจว่าจะสามารถเติบโตต่อไปได้ และจะเป็นการเติบโตแบบ Organic (ออแกนิก) ซึ่งหมายความว่า เป็นการเติบโตตามปัจจัยพื้นฐาน ตามเศรษฐกิจไทยที่ยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง


*P/BV ยังต่ำ

“หุ้นไทยไม่ได้ถูกหรือแพงเกินไป และเมื่อดู P/BV ต่ำมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ โดยเรามี P/BV เพียง 1เท่า อีกทั้งช่วงที่ผ่านมาก็เห็นชัดว่าตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวขึ้น โดยเฉพาะในหมวดเฮลธ์ แบงก์ ไอที สินค้าอุปโภคบริโภค และคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องอีกในปีหน้า แบบออแกนิก คือ เติบโตตามสภาวะปกติแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่ต้องมีตัวช่วย อย่างไรก็ตาม เรายังคงแนะนำให้กระจายพอร์ตลงทุนที่หลากหลายเพื่อลดความผันผวน”


ส่วนประเด็นที่อาจกระทบต่อการลงทุนธีม ESG หลัง โดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐนั้น แม้จะรู้กันว่า ทรัมป์ ไม่ได้สนใจ หรือสนับสนุน ESG ซึ่ง นางชวินดา มองว่า ESG ยังคงเดินหน้าต่อไปได้ แต่อาจจะเติบโตช้าลงบ้าง เพราะหลายประเทศได้ขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าวไปไกลมาก โดยเฉพาะภูมิภาคยุโรปที่ก้าวไปไกลเกินจะถอยกลับ ขณะที่เอเชีย ก็ให้ความสำคัญ แม้จีนเองก็ยังให้การตอบรับ หรือหากมองไปในสหรัฐเองก็มีกองทุน ESGหลายกอง ดังนั้นเรื่องดังกล่าว จึงยังคงเดินหน้าต่อไป


*หุ้นไทยปี68 แตะ1,650 จุด

นายพจน์  หะริณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน วรรณ จำกัด หรือ บลจ.วรรณ กล่าวเสริมว่า บลจ.วรรณ  มองตลาดหุ้นไทยเป็นบวกมากขึ้น โดยปี 2568จะขึ้นไปแตะ 1,650 จุด ได้จากการประเมินภาพรวมเศรษฐกิจใหม่หลังทรัมป์มา ที่อาจทำให้เกิดการย้ายฐานผลิตจากการขึ้นอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐ ซึ่งไทยจะได้รับอานิสงส์จากเรื่องนี้, เทรนด์อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในช่วงขาลง ซึ่งจะเป้นหนึ่งในแรงขับเคบื่อนการขยายตัวทางเศรษฐกิจ


“ในส่วนของหุ้นไทย จะมีการเร่งเบิกจ่าย เสถียรภาพของรัฐบาล มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปัจจัยเหล่านี้จะเป็นตัวหนุนดัชนีหุ้นไทยน่าจากประมาณ  1,450 จุด ไปแตะ 1,650 จุดในปี2568 มีอัพไซด์ราว 13-14% ดั้งนั้นจึงยังเป็นจังหวะเข้าลงทุนหุ้นไทยได้”


* บลจ.กรุงศรีเห็นพ้องหุ้นไทยโตต่อ

นางสุภาพร ลีนะบรรจง กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด หรือ บลจ.กรุงศรี มองไปในทิศทางบวกเช่นกัน คาดว่ หุ้นไทยปีนี้จะปิดที่ 1,500 จุดได้ มีกองทุนวายุภักษ์ และกองทุนเพื่อสิทธิประโยชน์ทางภาษี เป็นแรงหนุนและปี 2568 จะขึ้นไปแตะ 1,625 จุด

จาก
ถึง
Select...
หุ้น
Select...
หัวข้อ
Select...

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา  อ่านเพิ่มเติม

X