> Trendtalk > OR

06 กันยายน 2024 เวลา 06:10 น.

เจาะ OR

#ทันหุ้น - ตลาดหุ้นไทยเมื่อวานปรับตัวเพิ่มขึ้นเกิดสัญญาณซื้อทางเทคนิคหลังจากปรับตัวเพิ่มขึ้นทะลุผ่านแนวต้านที่ 1375 ขึ้นไป ทำให้แนวโน้มในระยะสั้นยังมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่ 1410


สำหรับหุ้นที่น่าสนใจวันนี้ คือ OR หรือบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) ดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและธุรกิจค้าปลีกสินค้าและบริการอื่นๆ (Non-Oil) ทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งรวมถึงการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในตลาดค้าปลีกและตลาดพาณิชย์ ธุรกิจกาแฟ ร้านอาหารและเครื่องดื่มอื่นๆ ร้านสะดวกซื้อ และการบริหารจัดการพื้นที่


OR รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/67 มีกำไรสุทธิ 2,536 ล้านบาท ลดลง 8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 2,756 ล้านบาท โดยบริษัทมีรายได้ขายและบริการ 183,989 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6,0555 ล้านบาท หรือ 3.4% จากไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งปรับเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มธุรกิจหลักจากราคาจำหน่ายเฉลี่ยต่อลิตรที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มธุรกิจ Mobility


นอกจากนี้ ส่วนหนึ่งจากการปรับเพดานราคาขายปลีกดีเซล รวมทั้งกลุ่มธุรกิจ Global มีประมาณจำหน่ายเพิ่มขึ้นโดยไตรมาสนี้รายได้ขายและบริการของกลุ่มธุรกิจ Mobility เพิ่มขึ้น 2.6%ตามราคาขายเฉลี่ยที่ปรับเพิ่มขึ้น กลุ่มธุรกิจ Lifestyle เพิ่มขึ้น 1% จากทั้งธุรกิจค้าปลีกอาหารและเครื่องดื่ม และธุรกิจค้าปลีกด้านอื่นๆ กลุ่มธุรกิจ Global ปรับเพิ่มขึ้น 23.2% ตามปริมาณจำหน่ายน้ำมันที่เพิ่มขึ้นในฟิลิปปินส์และกัมพูชา


ขณะที่ EBITDA ในไตรมาส 2/67 อยู่ที่ 4,843 ล้านบาท ลดลง 1,330 ล้านบาท หรือ ลดลง 21.5%เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า โดยลดลงจากกลุ่มธุรกิจ Mobility จากภาพรวมกำไรขั้นต้นเฉลี่ยต่อลิตรที่อ่อนตัวลง อย่างไรก็ตาม กลุ่มธุรกิจ Lifestyle เพิ่มขึ้นจากธุรกิจค้าปลีกอื่นๆ กลุ่มธุรกิจ Global เพิ่มขึ้นตามปริมาณจำหน่าย และกำไรขั้นต้นเฉลี่ยต่อลิตรฟื้นตัวอย่างมากในฟิลิปปินส์เป็นหลัก สำหรับค่าใช้จ่ายดำเนินงานสุทธิเพิ่มขึ้นเล็กน้อย


สำหรับส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุน ภาพรวมปรับตัวดีขึ้น โดยหลักเนื่องจากไม่มีรายการปรับปรุงการอ้างอิงอัตราแลกเปลี่ยนในบริษัทร่วมทุนในเมียนมา ในไตรมาสนี้มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนลดลงจากรายรับสกุลเงินต่างประเทศ ลดลงตามปริมาณจำหน่ายของลูกค้าต่างประเทศของกลุ่ม Mobility แม้ว่าค่าเงินบาทจะอ่อนค่าลง และมีกำไรจากตราสารอนุพันธ์ ส่งผลให้ไตรมาสนี้มีกำไรสุทธิลดลง


ด้านผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก มีกำไรสุทธิ 6,259 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.21%จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 5,731 ล้านบาท โดยบริษัทมีรายได้ขายและบริการ 361,922 ล้านบาท ลดลง 23,517 ล้านบาท โดยลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากปริมาณจำหน่ายที่ลดลงของกลุ่มธุรกิจ Mobility โดยรายได้ขายและบริการของกลุ่มดังกล่าวลดลง 7.7% อย่างไรก็ตามกลุ่มธุรกิจ Lifestyle เพิ่มขึ้น 8.1% จากทั้งธุรกิจค้าปลีกอาหารและเครื่องดื่ม และธุรกิจค้าปลีกอื่นๆ กลุ่มธุรกิจ Global ปรับเพิ่มขึ้น 15%ตามปริมาณจำหน่ายน้ำมันที่เพิ่มขึ้นในฟิลิปปินส์


ส่วนครึ่งปีแรกมี EBITDA อยู่ที่ 11,016 ล้านบาท ลดลง 121 ล้านบาท หรือ 1.1% เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก โดยลดลงจากธุรกิจ Mobility จากภาพรวมกำไรขั้นต้นที่ลดลงตามปริมาณจำหน่าย อย่างไรก็ตาม กลุ่มธุรกิจ Lifestyle ปรับเพิ่มขึ้นจากทั้งธุรกิจค้าปลีกอาหารและเครื่องดื่มและธุรกิจค้าปลีกอื่นๆ กลุ่มธุรกิจ Global เพิ่มขึ้นตามปริมาณจำหน่ายที่เพิ่มขึ้นในฟิลิปปินส์เป็นหลัก


ขณะเดียวกันค่าใช้จ่ายดำเนินงานสุทธิปรับลดลง 6.1% โดยหลักจากค่าโฆษณาและส่งเสริมการขาย ค่าซ่อมแซมและบำรุงรักษา สำหรับส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุน ภาพรวมลดลง เนื่องจากรายการปรับปรุงการอ้างอิงอัตราแลกเปลี่ยนในบริษัทร่วมทุนในเมียนมาเป็นหลัก ในงวดนี้มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้นจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าและขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์ลดลง ส่งผลให้มีกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน


นางสาววิไลวรรณ กาญจนกันติ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านบริหารการเงิน บมจ.ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก (OR) เปิดเผยว่า บริษัทได้ปรับเป้าปริมาณการจำหน่ายน้ำมันปีนี้เป็นหดตัว 3-5% จากเดิมคาดเติบโต 3-4% หลังจากช่วงครึ่งปีแรกบริษัทมียอดสะสมอยู่ที่ 12,866 ล้านลิตร ลดลง 7.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่อยู่ที่ 13,907 ล้านลิตร


โดยไตรมาส 2/67 มีปริมาณขายรวม 6,388 ล้านลิตร ลดลง 90 ล้านลิตร หรือ 1.4% เมื่อเทียบไตรมาสก่อนหน้า เป็นผลมาจากการค้าปลีกน้ำมัน (Retail) ลดลง ตามการเติมน้ำมันดีเซลที่ลดลง เนื่องจากมีการปรับเพดานราคาขายปลีกสูงขึ้น รวมถึงฝั่ง Commercial ก็ลดลงตามความต้องการใช้น้ำมันอากาศยานที่น้อยลง จากเป็นช่วงโลซีซั่น หรือฤดูฝน และหากเทียบ YoY ลดลงประมาณ 500 ล้านลิตร หรือ 7.5% โดยใน Retail ลดลงทั้งน้ำมันดีเซลและเบนซิน จากการปรับเพดานราคา รวมถึงการปล่อยข่าวปลอม (Fake News) ในช่วงต้นปี ส่วนตลาด Commercial ก็ลดลง จากน้ำมันดีเซลและเบนซิน จากการแข่งขันที่สูงขึ้น


สำหรับแนวโน้มการดำเนินงานในไตรมาส 3/67 ผลงานน่าจะใกล้เคียงหรือชะลอลงจากไตรมาส 2/67 เนื่องจากอาจมีความเสี่ยงกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ลดลง และกลุ่มธุรกิจ Mobility น่าจะมีปริมาณการจำหน่ายลดลง จากเป็นช่วงฤดูฝน โดยจะยังรักษาระดับการทำกำไรขั้นต้นต่อลิตร (Marketing margin) ให้ใกล้เคียงกับไตรมาส 2/67 ที่ระดับ 0.90-1 บาท/ลิตร


ขณะที่ปัญหา Fake New ที่ส่งผลต่อมาร์เก็ตแชร์ลดลงในช่วงต้นปีที่ผ่านมา บริษัทได้มีการพยายามทำโปรโมชั่นหรือแผนการตลาดเพื่อสนับสนุนให้ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันฟื้นตัวกลับขึ้นมา ซึ่งจะเห็นได้ว่าตั้งแต่ไตรมาส 2/67 จนถึงปัจจุบันปริมาณการจำหน่ายน้ำมันก็ค่อยๆฟื้นตัวขึ้นมาต่อเนื่อง


ส่วนกลุ่มธุรกิจ Lifestyle ในส่วนของ Café Amazon CUPS SOLD น่าจะทำได้ 100 ล้านแก้ว จากไตรมาส 2/67 อยู่ที่ 102 ล้านแก้ว ขณะที่ประเทศฟิลิปปินส์, กัมพูชา ก็เริ่มเห็นยอดขายฟื้นตัวขึ้น คาดหนุนยอดขายรวมและอัตรากำไรที่เพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตาม แม้ไตรมาส 3/67 ตัว CUPS SOLD จะลดลง แต่คาดว่าไตรมาส 4/67 จะฟื้นตัวขึ้นมาได้ จากเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น ทำให้เชื่อว่าทั้งปีจะเป็น New High และมาร์จิ้นก็คาดจะทำได้ดีในระดับ 27-29%


สำหรับแผนการขยายสาขาในปีนี้ บริษัทยังคงเป้าหมายขยายสถานีบริการน้ำมัน PTT Station ที่ 100 แห่ง, Café Amazon วางเป้าขยายสาขาราว 300 สาขา และใน Global อีกราว 20 สาขา รวมถึง EV Station PLUZ เพิ่มขึ้นราว 550 Locations



ทันเกม  รู้ก่อนใคร  ติดตาม  "ทันหุ้น"  ได้ทุกช่องทางเหล่านี้

YOUTUBE คลิก https://www.youtube.com/c/ThunhoonOfficial

FACEBOOK คลิก https://www.facebook.com/Thunhoonofficial/

Tiktok คลิก https://www.tiktok.com/@thunhoon_/

TELEGRAM คลิก https://t.me/thunhoon_news

Twitter คลิก https://twitter.com/thunhoon1

Instagram คลิก https://instagram.com/thunhoon.news?/

จาก
ถึง
Select...
หุ้น
Select...
หัวข้อ
Select...

ข่าวล่าสุด

อ่านต่อ

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา  อ่านเพิ่มเติม

X