บล.กสิกรไทยส่อง 2 หุ้นโรงไฟฟ้า

#GULF #ทันหุ้น - บล.กสิกรไทยวิเคราะห์หุ้นโรงไฟฟ้า มีมุมมองเชิงบวกทั้ง GULF และ BGRIM

GULF

Investment Topics

คาดกำไรปกติไตรมาส 1/ 2567 เพิ่มขึ้น YoY และ QoQ บล.กสิกรไทยคาดว่า GULF จะรายงานงบการเงินไตรมาส 1/2567ในวันที่ 9 พ.ค.โดยมีกำไรสุทธิ 3.1 พันลบ. ลดลง 21% YoY และ 36% QoQ หากไม่รวมผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจากการอ่อนค่าของเงินบาท คาดว่ากำไรปกติไตรมาส 1/2567 จะอยู่ที่ 4.1 พันลบ. เพิ่มขึ้น 11% YoY และ 11% QoQ บล.กสิกรไทยคาดว่าการเติบโต YoY จะได้แรงหนุนจากกำลังการผลิตที่สูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากโรงไฟฟ้า GPD หน่วยที่ 1 และ 2 ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้า IPP (ขนาดรวม 928 MWe) ซึ่งเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ในเดือน มี.ค.และ ต.ค. 2566 ส่วนการเพิ่มขึ้น QoQ เป็นผลมาจากการดำเนินงานที่ดีขึ้นของโรงไฟฟ้า IPP เนื่องจากผ่านช่วงที่มีอุปสงค์ต่ำในไตรมาส 4/2566 นอกจากนี้ ส่วนต่างระหว่างค่าไฟฟ้าเทียบกับราคาก๊าซ (spark spread) ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้อัตรากำไรของกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรม (IU) (7-8% ของรายได้รวม) คาดว่าจะดีขึ้นเล็กน้อย QoQ จากค่า Ft ที่สูงขึ้น

มุมมองเชิงบวกต่อการดำเนินงานหลัก แม้จะเผชิญกับผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจากการอ่อนค่าของเงินบาท (ส่วนใหญ่เป็นขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง) และคาดกำไรปกติในไตรมาส 1/2567 จะต่ำกว่าระดับสูงสุดในอดีตเล็กน้อย (ไตรมาส 3/2566) แต่การดำเนินงานหลักของ GULF ยังแข็งแกร่ง กำลังการผลิตจากธุรกิจพลังงานยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเติบโตจาก 6.7 GWe ในปี 2566 เป็น 8.4 GWe ในปี 2567 เนื่องจากโรงไฟฟ้า IPP และ โครงการพลังงานหมุนเวียนเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ตลอดทั้งปีพร้อมกับลงทุนในธุรกิจอื่น ๆ บล.กสิกรไทยคาดว่ากำไรปกติไตรมาส 2/2567 จะทำจุดสูงสุดภายหลังการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการโรงไฟฟ้าหินกอง (HKP) หน่วยที่ 1 และ GPD หน่วยที่ 3 ในเดือน มี.ค. 2567

Valuation and Recommendation

คงคำแนะนำ "ซื้อ" โดยให้ราคาเป้าหมายอิง SOTP ที่ 50.50บาท GULF ยังคงมีความน่าสนใจจากแนวโน้มการเติบโตของกำไรที่สดใสและการขยายพอร์ตการลงทุนที่หลากหลายไปยังธุรกิจอื่น ๆ นอกจากนี้ ยังอาจมี upside ด้านพลังงานทดแทนจากแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP) ใหม่

BGRIM

Investment Topics

คาดกำไรปกติไตรมาส 1/2567 จะเพิ่มขึ้นตามปริมาณการขายที่มากขึ้น บล.กสิกรไทยคาดว่า BGRIM จะรายงานงบการเงินไตรมาส 1/2567ในวันที่ 13 พ.ค. ด้วยกำไรสุทธิ 354ลบ. ลดลง 11% YoY และ 24% QoQ หากไม่รวมผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากเงินบาทที่อ่อนค่าลง กำไรปกติไตรมาส 1/2567 คาดว่าจะอยู่ที่ 463 ลบ. เพิ่มขึ้น22% YoY และ 21% QoQ กำไรปกติที่เพิ่มขึ้นทั้งเชิง YoY และ QoQ น่าจะได้รับแรงหนุนหลักจากกำลังการผลิตที่สูงขึ้น ส่งผลให้ปริมาณการขายไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ภายหลังเริ่มดำเนินงานเชิงพาณิชย์ของโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) 2 แห่งของ BGRIM (BGPAT 2 และ 3) เมื่อเดือน ต.ค. และ ธ.ค. 2566ซึ่งทำให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 8%

คาดอัตรากำไรของกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมจะอยู่ที่ระดับปกติในไตรมาส 1/ 2567 แต่จะเพิ่มขึ้นในไตรมาส 2/ 2567 Spark Spread (ส่วนต่างระหว่างค่าไฟฟ้าเทียบกับราคาก๊าซ) ของลูกค้าภาคอุตสาหกรรม (IU) คาดว่าจะทรงตัวทั้ง YoY และ QoQ ที่ราว 1.2-1.3 บาท/kWh ซึ่งสอดคล้องกับระดับปกติในอดีต หลังจากที่ทั้งอัตราค่าไฟฟ้าและราคาก๊าซของโรงไฟฟ้า SPP มีการเปลี่ยนแปลงสอดคล้องกันไป อย่างไรก็ตาม ในไตรมาส 2/2567 บล.กสิกรไทยคาดว่า Spark Spread จะเพิ่มขึ้น QoQ จากต้นทุนก๊าซที่คาดว่าจะลดลง ขณะที่อัตราค่าไฟฟ้ายังคงอยู่ที่ระดับปัจจุบัน (ค่า Ft ที่ 0.40 บาท/kWh)

Valuation and Recommendation

คงคำแนะนำ "ซื้อ" และราคาเป้าหมายที่ 34.50 บาท BGRIM มีความโดดเด่นในด้านกำไรที่คาดว่าจะปรับดีขึ้นในปี 2567-68 โดยเป็นหนึ่งในผู้ได้รับประโยชน์มากที่สุดจากราคาก๊าซธรรมชาติที่ลดลง เนื่องจากรายได้ 25-30% ของบริษัทฯ มาจากลูกค้าอุตสาหกรรม นอกจากนี้ BGRIM ยังคงขยายธุรกิจพลังงานทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึงการลงทุนล่าสุดในโครงการกังหันลมนอกชายฝั่งขนาด 363 เมกะวัตต์ ในเกาหลี ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินงานเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2568-69