#BKI #ทันหุ้น BKI ย้ำหลังปรับโครงสร้างสู่ BKIH ยังคงแจกปันผลไม่น้อยไปกว่าเดิม โดยปีก่อนปันผลทั้งปีที่ 16.75 บ. ขณะที่แผนลงทุนใหม่ๆหลังปรับโครงสร้างอยู่ระหว่างการศึกษา เผยใน 2 ปีนี้ยังไม่มีการลงทุนอะไรใหญ่ๆ จนกว่าจะศึกษาชัดเจน รวมถึงไม่มีแผนเพิ่มทุน ขณะที่ผลงานปี 2567 ตั้งเป้าโต 8% เบี้ยรับรวมที่ 32,500 ล้านบาท

ดร.อภิสิทธิ์ อนันตนาถรัตน ประธานคณะผู้บริหารและกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ BKI กล่าวว่า หลังปรับโครงสร้างธุรกิจสู่บริษัทโฮลดิ้งส์ ภายใต้ชื่อ บริษัท บีเคไอ โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BKIHแล้วนั้น ในช่วง 2 ปีนี้ ยังไม่มีแผนลงทุนใหญ่ๆ ในธุรกิจใหม่ หรือธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับประกันภัย เนื่องจากการเข้าลงทุน แต่ละครั้งบริษัทให้ความสำคัญกับการศึกษาข้อมูลเชิงลึกก่อน เพื่อให้แน่ใจว่าธุรกิจที่เข้าลงทุนเป็นผู้ประกอบการที่เชี่ยวชาญในด้านนั้นจริงๆ

“หลังปรับสู่ BKIHเราคงไม่มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงมากนักในเร็งๆนี้ ทั้งเรื่องของการเพิ่มทุน การบริหารงาน ทีมผู้บริหาร และกลยุทธ์ ธุรกิจหลักยังขับเคลื่อนด้วย BKIอย่างไรก็ตามการปรับโครงสร้างในครั้งนี้ ก็เพื่อความยืดหยุ่น และเตรียมพร้อมสำหรับการขยายธุรกิจในอนาคต แต่ในช่วง 1-2 ปี คงไม่มีการลงทุนใหญ่ๆ เกิดขึ้น มีเพียงการเข้าไปศึกษาธุรกิจอินชัวร์เทค ซึ่งเรามีความสนใจจะเข้าไปลงทุน”

*ย้ำปันผลไม่น้อยกว่าเดิม

ดร.อภิสิทธิ์ กล่าวว่า อินชัวร์เทคเป็นธุรกิจที่บริษัทให้ความสนใจเข้าไปลงทุน เบื้องต้นคาดว่าจะเป็นการร่วมลงทุน อย่างไรก็ตามอาจต้องใช้ระยะเวลาในการศึกษาราว 2 ปีเพื่อให้ได้พันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญ และชำนาญธุรกิจด้านนั้นจริงๆ เป็นประโยชน์ต่อทั้งผู้บริหาร ต่อบริษัทและผู้ถือหุ้น ดังนั้นแล้วเมื่อเป็น BKIH ในแง่การปันผล โฮลดิ้งส์ ก็จะจ่ายไม่ให้ต่ำกว่าที่ BKI จ่ายให้ผู้ถือหุ้น ซึ่งในปี 2566 BKI จ่ายปันผลไป 16.75 บาท

ทั้งนี้ ราคาปิดตลาด BKI วานนี้ (9 เม.ย.67) อยู่ที่ 292 บาท ลดลง 1.00 บาท เปลี่ยนแปลง -0.34% มูลค่าการซื้อขาย 7.17 ล้านบาท

ล่าสุดบริษัท ได้รับการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) ให้มีการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ (Tender Offer) โดยบริษัท ได้กำหนดระยะเวลาในการแลกเปลี่ยนหุ้น BKI เป็นหุ้น BKIH ในช่วงระหว่างวันที่ 25 มีนาคม – 5 มิถุนายน 2567 รวมทั้งสิ้น 45 วันทำการ จากนั้นจะนำหุ้น BKIH เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยแทนที่หุ้นของกรุงเทพประกันภัย ประมาณช่วงกลางเดือนมิถุนายน 2567

ดร.อภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า หลังจากในปี 2566 เป็นปีแห่งการ Resilience พลิกฟื้นบริษัท ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ให้กลับไปสู่จุดที่แข็งแกร่งและมั่นคงยิ่งกว่าเดิมในทุกมิติ ผ่านการปลูกฝังมายเซ็ท (Mindset) แก่บุคลากรให้เรียนรู้จากวิกฤตเพื่อให้เกิดการพัฒนาและปรับตัวให้ดียิ่งขึ้น จนทำให้บริษัท สามารถสร้างเบี้ยประกันภัยและผลกำไรให้เติบโตได้อย่างโดดเด่นเป็นประวัติการณ์

*เปิดเป้าหมายปี67

ในปี 2567 บริษัทได้พัฒนาต่อยอดสู่การเป็นปีแห่ง Regenerative ซึ่งหมายถึง การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับทุกกิจกรรมในห่วงโซ่คุณค่าที่บริษัทจะส่งมอบให้แก่ลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าและผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม รวมถึงสังคมและสิ่งแวดล้อมได้รับผลกระทบเชิงบวกจากผลิตภัณฑ์ บริการ และกิจกรรมทางธุรกิจต่างๆ ของบริษัทเพิ่มเติมจากคุณค่าที่เคยได้รับ ซึ่งผลกระทบเชิงบวกนั้นจะช่วยชดเชย ซ่อมเสริม หรือพลิกฟื้นสิ่งที่เคยสูญเสีย หรือบกพร่องให้กลับสู่สภาพปกติ ไม่ว่าจะเป็นด้านสิ่งแวดล้อม สุขภาพ หรือคุณภาพชีวิต

สำหรับทิศทางการดำเนินงานในปี 2567 นี้ กรุงเทพประกันภัยได้ตั้งเป้าหมายด้วยเบี้ยประกันภัยรับรวมที่ 32,500 ล้านบาท เติบโต 8% แบ่งเป็นเบี้ยประกันภัยรถยนต์ 13,690 ล้านบาท และเบี้ยประกันภัยที่ไม่ใช่ประกันภัยรถยนต์หรือ Non-Motor 18,810 ล้านบาท โดยบริษัท มุ่งมั่นที่จะขยายธุรกิจด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าให้ได้มากที่สุด พร้อมยกระดับนวัตกรรมการบริการให้ดียิ่งขึ้น นำมาซึ่งการสร้างความพึงพอใจสูงสุดของลูกค้าและคู่ค้า