#ERW #ทันหุ้น - ERW คาดรายได้รวมทั้งปี 2565 โต 150% นักท่องเที่ยวต่างชาติคึกคักหลังเปิดประเทศ หนุนอัตราการเข้าพักพุ่งเกิน 50% บางแห่งแตะ 70% รวมถึงบางช่วงสามารถปรับเพิ่มค่าห้อง ตั้งงบ 800 ล้านบาท เดินหน้าแบรนด์ฮ็อป อินน์ รวมถึงการปรับปรุงโรงแรม และศูนย์การค้าดิ เอราวัณ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว

นางสาววรมน  อิงคตานุวัฒน์  รองกรรมการผู้จัดการ และประธานเจ้าหน้าที่การเงิน บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)  หรือ ERW เปิดเผยว่า บริษัทคาดการณ์ว่ากำไรก่อนจะหักค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย, ภาษี, ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ทั้งปี 2565 จะสามารถพลิกกลับมาเป็นบวกได้เล็กน้อยเมื่อเทียบกับปี 2564 ที่ EBITDA มีผลเป็นลบ

เบื้องต้นคาดการณ์ว่าผลการดำเนินงานทั้งปี 2565 จะขาดทุนลดลงเมื่อเทียบกับปี 2564 ที่ขาดทุน 2,050 ล้านบาท โดยคาดการณ์ว่าอัตราการเข้าพักเฉลี่ย (OCC) และรายได้เฉลี่ยต่อห้อง (RevPar) ทั้งปี 2565 จะฟื้นตัวได้สูงกว่า 50% เมื่อเทียบกับปี 2562 (ก่อนสถานการณ์โควิด-19) หนุนจากภาพรวมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่ง หลังรัฐบาลผ่อนคลายมาตรการการเดินทางเข้าประเทศของชาวต่างชาติ ควบคู่กับการกระตุ้นให้คนไทยท่องเที่ยวในประเทศ ผ่านโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน”

เติบโตต่อเนื่อง

พร้อมกันนี้คาดการณ์ผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2/2565 ว่า ยังคงมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องจากงวดไตรมาส 1/2565 เห็นได้จากอัตราการเข้าพักเฉลี่ยของโรงแรมกลุ่มบัดเจ็ต (Budget Hotel) หรือโรงแรมราคาประหยัดในประเทศไทย มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยสูงถึง 70% ต่อเนื่องตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา

ขณะที่โรงแรมกลุ่มบัดเจ็ตในฟิลิปปินส์ก็มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยที่ 55%ขณะเดียวกันบริษัทสามารถปรับขึ้นราคาห้องพักได้เป็นบางช่วง ส่งผลให้รายได้เฉลี่ยต่อห้องพักเร่งตัวขึ้น 7-10%เมื่อเทียบกับงวดไตรมาส 1/2565 ที่ผ่านมา

“ปีนี้คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเฉลี่ย 10-15 ล้านคน ขณะที่คนไทยจะเดินทางท่องเที่ยวเฉลี่ยประมาณ 150 ล้านคนต่อทริป ก็คาดว่าจะเป็นปัจจัยหนุนให้ผลการดำเนินงานปีนี้จะเพิ่มขึ้น 150% เมื่อเทียบกับปี 2564 ที่มีรายได้รวม 1,485 ล้านบาท โดยบริษัทจะยังคงติดตามสถานการณ์ราคาน้ำมันที่ทรงตัวระดับสูง และสภาวะเงินเฟ้อที่จะกดดันจิตวิทยาการเดินทางของคนในประเทศ เพื่อประเมินว่าจะสามารถปรับขึ้นค่าห้องพักในช่วงครึ่งหลังของปีได้แค่ไหน”

ลุยแบรนด์ฮ็อป อินน์

ทั้งนี้บริษัทตั้งงบประมาณการลงทุนทั้งปี 2565 ไว้ที่ 800 ล้านบาท เพื่อลงทุนขยายเครือข่ายแบรนด์ ฮ็อป อินน์ โรงแรมระดับบัดเจ็ตของบริษัท ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินงาน 6 แห่ง โดยจะทยอยเปิดในปี 2565, 2566, และ 2657 รวมถึงปรับปรุงโรงแรม Courtyard by Marriott Bangkok, โรงแรมไอบิส สุขุมวิท, และศูนย์การค้าดิ เอราวัณ เพื่อให้พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวที่จะทยอยเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง

“สำหรับโรงแรม 2 แห่งในกรุงเทพฯ มีกำหนดจะปรับปรุงแล้วเสร็จภายในไตรมาส 3/2565 ขณะที่ศูนย์การค้าดิเอราวัณมีกำหนดปรับปรุงแล้วเสร็จในไตรมาส 4/2565 ซึ่งก็จะพร้อมรองรับนักท่องเที่ยวที่จะทยอยเดินทางเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะกลับไปแตะระดับ 40 ล้านคนได้ในปี 2567”

ERW มีแรงหนุนต่อ

บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ คาดผลการดำเนินงานทั้งปี 2565 ของ ERW จะขาดทุนสุทธิ 804 ล้านบาท ลดลงจากปี 2564 ที่ขาดทุนกว่า 2 พันล้านบาท หนุนจากรายได้ของโรงแรมในกรุงเทพฯ ที่ฟื้นตัวขึ้น สะท้อนให้เห็นการเดินทางเข้ามาของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่แข็งแกร่ง ทั้งยังมีปัจจัยหนุนระยะกลาง-ยาว หลังรัฐบาลประกาศให้โควิด-19 เป็น “โรคประจำถิ่น” ภายในเดือนกรกฎาคม 2565 หนุนให้ผลการดำเนินงานของ ERW พลิกกลับมามีกำไรได้ในปี 2566 เป็นต้นไป จึงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสม 3.90 บาท

สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาสแรก ปี 2565 ดีกว่าที่ตลาดและฝ่ายวิเคราะห์คาด ERW รายงานขาดทุนสุทธิที่ 313 ล้านบาท โดยเป็นการขาดทุนลดลงเมื่อเทียบ YoY ที่อยู่ที่ 492 ล้านบาท แต่ขาดทุนเพิ่มขึ้นเทียบ QoQ ที่อยู่ที่ 246 ล้านบาท ดีกว่าที่ตลาด +13% และเราคาด +17% จากค่าใช้จ่ายในการบริหารน้อยกว่าคาดมาอยู่ที่ 255 ล้านบาท (คาด 272 ล้านบาท)

อัตราเข้าพักพุ่ง

และมีรายได้เฉลี่ยต่อห้องที่ไม่รวม Budget (RevPar) เพิ่มขึ้นได้ดีมากกว่าคาดมาอยู่ที่ +160% YoY (คาด +150% YoY) จาก 4Q/2564 ที่ +38% YoY หนุนจาก Average Room Rate (ARR) เพิ่มขึ้นได้ถึง +45% YoY และมี Occupancy Rate ที่ฟื้นตัวได้ดีที่ 31% โดยโรงแรมใน กทม. กลับมาฟื้นตัวได้ดีกว่าโรงแรมในต่างจังหวัด (บางโรงแรมมี Occupancy Rate ในเดือน มี.ค. แตะที่ระดับ 70% แล้ว) ส่วนใหญ่มาจากนักท่องเที่ยวไทย,สหรัฐ และตะวันออกกลาง

ขณะที่ Hop Inn ในประเทศไทยมี RevPar เพิ่มขึ้น +39% YoY กลับมาฟื้นตัวได้เมื่อเทียบกับ 4Q/2564 ที่ -15% YoY ส่วน Hop Inn ที่ฟิลิปปินส์ RevPar ยังคงเพิ่มขึ้นได้ดีต่อเนื่องที่ +51% YoY จาก 4Q/2564ที่ +49% YoY หลังจากที่มีการเปิดประเทศแล้ว