ปัจจัยต่างประเทศ:ตลาดหุ้นสหรัฐยังได้รับ Sentiment บวกจากการรายงานผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน บริษัท ASML ผู้ผลิตเครื่องจักรผลิตชิปสำคัญป้อนโรงงานอย่าง TSMC, Samsung รายงานงบออกมาเติบโตแข็งแกร่งเป็นไปตามคาด รายได้เติบโต 32% YoY ตอกย้ำความต้องการชิปทั่วโลกยังคงแข็งแกร่งต่อเนื่อง แต่ปัญหา Shortage อาจทำให้รายได้รวมของบริษัทใน Supply Chain รวมถึงบริษัทที่ขายสินค้าปลายทางที่ต้องใช้ชิป เช่น มือถือ, อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์, Data Center และรถยนต์ อาจชะลอตัวในระยะสั้น 

ตัวอย่างเช่นในกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ส่วนใหญ่ที่รายงานกำไรออกมาดีขึ้น จากความต้องการของลูกค้าที่แข็งแกร่ง แต่รายได้รวมลดลงจากการที่ไม่สามารถผลิตได้เต็มกำลังจากปัญหา Supply Constraints แต่ไม่ใช่กับบริษัท Tesla ที่เพิ่งรายงานงบไตรมาส 3 ออกมาทั้งรายได้และกำไรดีกว่าตลาดคาด ถึงแม้ว่าจะเจอปัญหาเรื่องการขาดแคลนชิปและปัญหาการขนส่งสินค้าต่างๆ ก็ตาม ทั้งนี้บริษัทยังคงเน้นย้ำ Guidance จากครั้งก่อนว่าการส่งมอบรถจะเติบโตเฉลี่ย 50% ต่อปีไปอีกหลายปีข้างหน้านับจากนี้ 

ตลาดหุ้นจีนอาจส่งสัญญาณผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว หลังจากที่ช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญต่างๆ อย่าง GDP, Industrial Production, Fixed Asset Investment ต่ำกว่าคาดแต่ตลาดหุ้นจีนเริ่มทรงตัวไม่ได้ปรับตัวลงตามโดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่เริ่มเห็นราคาหุ้นฟื้นตัวกลับ นอกจากนี้นายแจ็ก หม่าที่ไปปรากฏตัวตามที่ต่างๆทั้งในฮ่องกงและล่าสุดในยุโรป หลังจากเงียบหายไปนานตั้งแต่เกิดประเด็นเลื่อน IPO Ant Financial ในช่วงเดือนพ.ย.ปีที่แล้ว ก็ถือเป็นอีกสัญญาณบวกที่นักลงทุนคาดหวังกันว่าการควบคุมจัดระเบียบจากภาครัฐจีนน่าจะผ่านจุดเข้มงวดสุดไปแล้วและน่าจะเริ่มผ่อนคลายลงในระยะข้างหน้า   

ปัจจัยภายในประเทศ: รายงานผลประกอบการกลุ่มธนาคาร BAY รายงานงบออกมาดีกว่าคาด (-56%QoQ +4% YoY) จากรายได้ทั้ง NII และ Non-NII ที่ดีขึ้นและสัดส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ลดลง NPL ทรงตัวที่ 2.6% ส่วน TTB รายงานงบออกมาดีกว่าคาดเช่นกัน (-7%QoQและ +46% YoY) จากรายได้ NII ดีกว่าคาด ขณะที่ OPEX และการตั้งสำรองต่ำกว่าคาด NPL เพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาที่ 3.3% จาก 3.2% แต่ไม่น่ากังวล ขณะที่ KTB รายงานงบออกมาต่ำกว่าคาดเพียงเล็กน้อย (-16%QoQและ +65% YoY) แต่ NPL ลดลงต่อเนื่องเล็กน้อยมาที่ 4.2% 

สรุปทั้ง 3 ธนาคารที่รายงานออกมาโดยรวมถือว่าดี ผลประกอบการที่ไม่ดีน่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา โดยเราคาดว่าจะฟื้นตัวดีขึ้นทั้ง YoY และ QoQ ในไตรมาส 4 ขณะที่คุณภาพสินทรัพย์ยังไม่น่ากังวลอย่างที่คาด จากแนวโน้มกลุ่มธนาคารที่รายงานออกมา เราคาดว่าแบงก์ใหญ่ที่กำลังจะรายงานออกมาน่าจะรายงานผลประกอบการออกมาดีเช่นกัน 

ทั้งนี้เรายังมองกลุ่มธนาคารน่าสนใจ เป็นอีกกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเมืองและราคายังไม่ได้ปรับตัวขึ้นมาก รวมถึงจะได้ประโยชน์จากทิศทางแนวโน้ม Bond Yield ปรับตัวขึ้นและเม็ดเงินต่างชาติไหลกลับเข้าลงทุน ขณะที่ครม.ที่ได้อนุมัติงบเพิ่มได้แก่บัตรคนจน-กลุ่มเปราะบาง-คนละครึ่ง-ยิ่งใช้ยิ่งได้คาดว่าจะช่วยสนับสนุนกำลังซื้อภายในประเทศฟื้นตัวในไตรมาส 4 จะช่วยหนุนการฟื้นตัวของหุ้นกลุ่ม Commerce อย่างเช่น CPALL, MAKRO, DOHOME เป็นต้น ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเมืองและราคายัง Laggard อยู่เช่นกัน เราแนะนำทยอยสะสมลงทุนหุ้นกลุ่มดังกล่าวได้เช่นกัน

ประเมินกรอบ SET 1,635-50 จุด 

หุ้นแนะนำประจำสัปดาห์นี้

1.AMATA (ราคาพื้นฐาน 22.60 บาท) ลดเป้ายอดขายที่ดินในไทยในปี 2564 ลงเป็น 650 ไร่ จาก 950 ไร่ แต่เพิ่มยอดขายในเวียดนามขึ้นเป็น 500-700 ไร่ จาก 430 ไร่  คาดว่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินจะลดลงมากในไตรมาส 3/2564 แต่จะเป็นไตรมาสที่รายได้ต่ำสุด ก่อนที่จะฟื้นตัวดีในไตรมาส 4  นอกจากนี้กำไรปี 2565 คาดจะเติบโตแข็งแกร่งขึ้นอีกจากการเลื่อนโอนในช่วงที่ผ่านมา

2.KCE (ราคาพื้นฐาน 104 บาท) คาดงบ 3Q/64 จะออกเติบโตได้ทั้ง +233%YoY และ +7% QoQและคาดว่าจะดีต่อเนื่องใน 4Q/64 โดยบริษัทไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาขาดแคลนชิป ทั้งนี้เรามีการปรับราคาเป้าหมายเพิ่มขึ้นจากการปรับประมาณการกำไรเพิ่มจากการปรับสมมติฐาน FX ใหม่ (ปี64: 32 บาทต่อดอลลาร์ ปี65-66: 32.75 บาทต่อดอลลาร์) โดยกำไรปกติของ KCE จะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ระหว่าง 2564-2566 สูงถึง 55%

อยากลงทุนสำเร็จ เป็นเพื่อนกับเรา พร้อมรับข่าวสารได้ทุกช่องทางที่
APP ทันหุ้น ANDROID คลิก https://qrgo.page.link/US6SA
APP ทันหุ้น IOS คลิก https://qrgo.page.link/QJKT7
LINE@ คลิก https://lin.ee/uFms4n5
FACEBOOK คลิก https://www.facebook.com/Thunhoonofficial/
YOUTUBE คลิก https://www.youtube.com/channel/UCYizTVGMealUUalT6VdUdNA
TELEGRAM คลิก https://t.me/thunhoon_news
Twitter คลิก https://twitter.com/thunhoon1