> อาหารสมอง >

11 พฤษภาคม 2021 เวลา 16:19 น.

KKP ประเมินลูกหลงต่อศก.ไทย เมื่อยักษ์ใหญ่โรมรัน (ตอนที่ 1)

ทันหุ้น - KKP Research โดยเกียรตินาคินภัทร วิเคราะห์ว่าความขัดแย้งระหว่างสหรัฐกับจีน  ทั้งในเรื่อง การสอดแนมทางเทคโนโลยี การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา  การค้าอย่างไม่เป็นธรรม ปัญหาสิทธิมนุษยชน และสิ่งแวดล้อม  รวมไปถึงกระแสทุนนิยมที่คำนึงถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในวงกว้าง (Stakeholder  Capitalism) จะเป็นปัจจัยที่ทำให้รัฐเข้ามาตรวจสอบห่วงโซ่อุปทานมากยิ่งขึ้นและเร่งให้เกิดการย้ายฐานการผลิตออกจากจีนกลับไปยังสหรัฐฯ  หรือกระจายไปยังภูมิภาคอื่น ๆ โดยเฉพาะในเอเชียแปซิฟิค


ห่วงโซ่อุปทานในประเทศจีนบางส่วน รวมไปถึงอุตสาหกรรมการผลิตที่ใช้แรงงานเข้มข้น (labor  intensive sector) จะกระจายออกจากจีนไปยังประเทศอื่น  ๆ โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอินเดีย ด้วยต้นทุนแรงงานที่ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าจีน  รวมไปถึงความใกล้เคียงกันของโครงสร้างการส่งออกของอาเซียนกับจีน  โดยเฉพาะในหมวดสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และสิ่งทอ ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา สัดส่วนของการนำเข้าจากจีนของสหรัฐฯ ลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยสัดส่วนที่หายไปจากจีนไปเพิ่มขึ้นที่เวียดนาม  ไต้หวัน เกาหลีใต้ และมาเลเซีย แต่สำหรับประเทศไทยนั้น สัดส่วนการส่งออกไปสหรัฐฯ ยังเพิ่มขึ้นค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ


สหรัฐฯ จะพยายามสร้างพันธมิตรในการกีดกันจีน เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับระเบียบ กฎกติกา และสถาบันพหุภาคี และกดดันให้จีนกลับมาเป็นผู้เล่นที่ดีในกฎเกณฑ์ที่สหรัฐฯ  สร้างขึ้น อย่างไรก็ตาม การที่จะบรรลุเป้าหมายนี้ได้ สหรัฐฯ  จะทำให้จีนเห็นว่าการไม่ให้ความร่วมมือต่อระเบียบและกฎกติกาโลกที่สหรัฐฯ  เป็นคนกำหนด จะส่งผลกระทบทางลบย้อนกลับมาที่จีนเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  เพราะฉะนั้น เราอาจเห็นสหรัฐฯ กลับเข้าร่วมข้อตกลงการค้าพหุภาคี CPTPP หรือสร้างข้อตกลงการค้าในลักษณะเดียวกันนี้ก็เป็นได้ ซึ่งหากสหรัฐและกลุ่มประเทศที่สนใจเช่น  สหราชอาณาจักร เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย หรือแม้กระทั่ง ไต้หวัน กลับเข้าร่วมข้อตกลง  CPTPP จะทำให้ข้อตกลงนี้ มีขนาด GDP รวมกันถึง 44% ของโลกและมีประชากรรวมกันสูงถึง 17% ของประชากรโลก


ในขณะเดียวกัน แรงกดดันจากสหรัฐฯ และประเทศภาคีของสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นนั้น จะทำให้จีนจะหันมาเพิ่มการผลิต  การบริโภค การลงทุนและการท่องเที่ยวในประเทศมากขึ้น รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีของตนเองเพื่อลดการพึ่งพาประเทศตะวันตก และลดความเสี่ยงจากการย้ายห่วงโซ่อุปทานออกจากจีน และขยับตนเองไปอยู่ต้นน้ำในห่วงโซ่มูลค่าโลก (Global  value chains) อย่างไรก็ตาม  จีนไม่ได้มีแผนที่จะแยกตัวเองออกจากโลกทั้งหมด  แต่จะยังคงเชื่อมต่อกับห่วงโซ่อุปทานโลกและจะรักษาอำนาจการต่อรองผ่านการค้าระหว่างประเทศ  เราได้เห็นความพยายามนี้ผ่านข้อตกลงการค้า RCEP (Regional Comprehensive Economic Partnership) ที่จีนและกลุ่มประเทศอื่น ๆ ได้ลงนามสนธิสัญญาในปี 2020


KKP Research โดยเกียรตินาคินภัทร ประเมินว่าสิ่งที่ไทยจะต้องเผชิญภายใต้ความตึงเครียดที่จะมีมากขึ้นระหว่างสหรัฐฯ และจีน มีดังนี้ (1) ถ้าจำเป็นต้องเลือกข้าง ไทยจะได้รับผลกระทบทางลบด้านการค้าและการลงทุน เนื่องจากทั้งสหรัฐฯ และจีนเป็นคู่ค้าที่สำคัญที่สุดสองอันดับแรกของไทย (2) ไทยจะได้ประโยชน์อย่างจำกัดจากการย้ายห่วงโซ่อุปทานโลก ด้วยความสามารถในการแข่งขันของไทยที่มีแนวโน้มลดลงเรื่อย ๆ ที่ทำให้ไทยอาจไม่เป็นที่น่าดึงดูดในการเป็นฐานการผลิต (3) ไทยอาจพลาดโอกาสได้รับเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศจากความด้อยประสิทธิภาพด้าน ESG (4) ต้นทุนของไทยจากการไม่เข้าร่วม CPTPP จะสูงขึ้นอย่างมากหากสหรัฐฯ และพันธมิตรเข้าร่วม (5) การท่องเที่ยวไทยอาจหวังพึ่งการเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยวจีนไม่ได้อย่างในอดีต และ (6) ค่าเงินบาทอาจได้รับแรงกดดันเปลี่ยนทิศทางเป็นอ่อนค่าหากไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว


อยากลงทุนสำเร็จ เป็นเพื่อนกับเรา พร้อมรับข่าวสารได้ทุกช่องทางที่
APP ทันหุ้น ANDROID คลิก
https://qrgo.page.link/US6SA
APP ทันหุ้น IOS คลิก
https://qrgo.page.link/QJKT7
LINE@ คลิก
https://lin.ee/uFms4n5
FACEBOOK คลิก
https://www.facebook.com/Thunhoonofficial/
YOUTUBE คลิก
https://www.youtube.com/channel/UCYizTVGMealUUalT6VdUdNA
TELEGRAM คลิก
https://t.me/thunhoon_news
Twitter คลิก
https://twitter.com/thunhoon1



จาก
ถึง
Select...
หุ้น
Select...
หัวข้อ
Select...

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา  อ่านเพิ่มเติม

X