จากการ์ดเกมสู่ผู้นำตลาดเกมชั้นนำระดับโลกของ Nintendo

หากพูดถึงเกมยอดฮิตในยุคนี้ที่บรรดาเหล่าเกมเมอร์ต้องยกนิ้วให้ คงหนีไม่พ้น Nintendo Switch แต่ใครจะรู้บ้างว่า กว่าที่ Nintendo จะอัปเลเวลขึ้นมาเป็นเจ้าพ่อเกมแห่งแดนปลาดิบที่โด่งดังระดับโลกได้นั้น เขาต้องฝ่าฟันอุปสรรคมาแล้วกี่ด่าน?

ย้อนกลับไปในปี พ.ศ. 2432 หรือเมื่อ 132 ปีก่อน บริษัท Nintendo ได้เริ่มธุรกิจด้วยการจำหน่ายการ์ดเกม Hanafuda ซึ่งมีลักษณะคล้ายไพ่ ธุรกิจดำเนินไปจนกลายเป็นผู้นำอุตสาหกรรมการ์ดเกมอย่างเต็มตัว แต่แล้วจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญก็เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2502 เมื่อ Nintendo เซ็นสัญญากับบริษัท Disney ได้ลิขสิทธิ์พิมพ์ลายตัวการ์ตูนลงบนการ์ดเพื่อจัดจำหน่ายทั่วโลก ทำให้บริษัทมีรายได้เพิ่มมากยิ่งขึ้นจนสามารถจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ พร้อมกับแผนขยายธุรกิจให้ใหญ่และหลากหลายกว่าเดิม

หลังจากเข้าตลาดหลักทรัพย์ Nintendo ได้ทยอยเปิดตัวธุรกิจใหม่ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร จนกระทั่งปี พ.ศ. 2515 วงการเกมก็เปลี่ยนไป เมื่อMagnavox Odyssey เครื่องเล่นวิดีโอเกมเครื่องแรกของโลกได้ถือกำเนิดขึ้นNintendo จึงติดต่อกับผู้ผลิตเพื่อขอเป็นผู้จัดจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่นในปี พ.ศ. 2517 ซึ่งแน่นอนว่าสร้างยอดขายถล่มทลาย 

นี่จึงเป็นโอกาสให้ Nintendo ลุยธุรกิจพัฒนาเกมและเครื่องเล่นวิดีโอเกมอย่างจริงจัง และเปิดตัวครั้งแรกในปี พ.ศ. 2518 ด้วยเกมตู้ EVR Race ตามมาด้วยเกมอีกหลากหลายรูปแบบ อาทิ Famicom, Super Famicom, Nintendo 64, Nintendo Wii, Game Boy, Nintendo DS และ Nintendo Switch

ผ่านร้อนหนาวอย่างแข็งแกร่ง

Nintendo เป็นบริษัทเกมชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่นที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมากกว่าศตวรรษ และยังเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งในอนาคต ทั้งนี้ จากวิกฤตโควิด-19 ที่เปลี่ยนวิถีชีวิตของผู้คนทั่วโลกให้หันมาสนใจเกมออนไลน์มากขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจได้รับอานิสงส์

โดย Nintendo Switch รุ่นล่าสุด ซึ่งเป็นเกมลูกผสมระหว่างเกมแบบพกพากับเกมแบบ Console (เครื่องเล่นวิดีโอเกม)ในเครื่องเดียว สามารถขายได้ทั่วโลกเกือบ 80 ล้านเครื่อง ดังนั้น จากความสำเร็จด้านรายได้จึงทำให้ Nintendo ปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์ผลกำไรในปีงบประมาณนี้ (เม.ย. 2563 - มี.ค. 2564) จากเดิม1.8 พันล้านดอลลาร์ เป็น 2.7 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเพิ่มขึ้น 16% ในปีงบประมาณที่แล้ว

สำหรับผู้ลงทุนที่มองเห็นโอกาสและอยากเข้าลงทุนในหุ้น Nintendo บลจ.กสิกรไทย ขอแนะนำ K-ATECH กองทุนน้องใหม่มาแรงที่เน้นลงทุนในหุ้นเทคเอเชียยักษ์ใหญ่ที่มีผู้ใช้งานทั่วโลก เน้น 5 ธีมนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อโลกอนาคต ได้แก่ ธุรกิจอีคอมเมิร์ชและสื่อออนไลน์ ธุรกิจเกมออนไลน์ ธุรกิจผลิตชิ้นส่วนอิเล็คทรอนิกส์ ธุรกิจผลิตชิ้นส่วนสมาร์ทโฟน และธุรกิจหุ่นยนต์อุตสาหกรรม เหมาะแก่การสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว เป็นอีกกองทุนที่ควรมีติดไว้ในพอร์ต

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมของกองทุน K-ATECH ได้ที่ https://bit.ly/2RsTMxd

คอลัมน์  Business Insider by KAsset